GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกาะติดเสวนาปฏิรูปพลังงาน


เกาะติดเสวนาปฏิรูปพลังงาน “หลวงปู่พุทธะอิสระ” นำตั้งคำถาม ปตท. อ้ำอึ้งไม่บอกรายชื่อบริษัทปิโตรเคมี ซื้อก๊าซแอลพีจีราคาต่ำ อ้างกระทบธุรกิจ
ด้าน “มนูญ ศิริวรรณ” ฉุน โดนซักภาคปิโตรเคมีใช้แอลพีจีมากกว่าภาคอื่นหรือไม่ โวยไม่ใช่จำเลย “วีระ” ถามกลางวง ใครถือหุ้น ปตท. อยู่บ้าง “ปิยสวัสดิ์-ไพรินทร์” ยอมรับ แต่มากน้อยแค่ไหน ขอดูรายละเอียดก่อน
ประธานบอร์ด ปตท. อ้างส่งออกเบนซีนเพราะมีเหลือ แต่ไม่มาก ราคาต่ำกว่าในประเทศ เพราะเขาเสียค่าขนส่งและไม่รวมภาษี
วันนี้ (27 ส.ค.) สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้จัดงานเสวนา ถาม-ตอบ ปฏิรูปพลังงานเพื่อความปรองดองของชาติ เพื่อเปิดเวทีให้ภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นถึงการปฏิรูปพลังงาน ในเวลา 09.00 - 14.00 น. ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต
ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งให้ปล่อยตัว นายวีระ สมความคิด พร้อมทั้งสมาชิกกลุ่มขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน เพื่อให้มาร่วมฟัง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเวทีดังกล่าวด้วย ส่วนผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม หม่อมหลวง กรณ์กสิวัฒน์ เกษมศรี อดีตอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงานของวุฒิสภา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่น 2
โดยมีผู้บริหาร ปตท. มาตอบคำถาม อาทิ นายปิยสวัสดิ์ อมระนันทน์ ประธานคณะกรรมการ ปตท. นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้บริหารผู้จัดการใหญ่ ปตท.
“ปิยสวัสดิ์” กั๊กชื่อลูกค้าซื้อแอลพีจี
การเสวนาเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยหลวงปู่พุทธะอิสระเป็นคนนำตั้งคำถามให้ฝ่าย ปตท. ตอบ โดยเฉพาะในประเด็นโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ที่ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าภาคขนส่ง และภาคครัวเรือน ทั้งนี้ หม่อมหลวง กรณ์กสิวัฒน์ ได้สอบถามถึงรายชื่อบริษัทที่ซื้อก๊าซแอลพีจีในราคาถูก แต่ทาง ปตท. ไม่สามารถให้ได้ อ้างว่าจะกระทบกับการทำธุรกิจของบริษัทเหล่านั้น ขณะที่ นายปิยสวัสดิ์ บอกว่า ถ้าจะให้รายชื่อก็ต้องขออธิบายอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั้งระบบก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด
คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต กรรมการมูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บอกว่า ราคาจะถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับว่าราคาเม็ดพลาสติกจะถูกหรือแพง และพยายามชี้แจงว่าราคาเฉลี่ยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซื้อคือ 22 บาทกว่าๆ แต่หม่อมหลวงกรณ์ แย้งว่า ไม่ควรบอกราคาเฉลี่ย เพราะว่าแต่ละบริษัทที่ซื้อใช้เงินคนละกระเป๋ากัน ต้องอธิบายว่าทำไมบางบริษัทซื้อถูกบางบริษัทซื้อแพง เช่น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล ซื้อได้ในราคา 19 บาท แต่เอสซีจีซื้อในราคา 30 กว่าบาท
“ปิยสวัสดิ์” อ้างปิโตรเคมีไม่ได้รับชดเชย
พ.ท. แพทย์หญิง กมลพันธุ์ ชีวะพันธุ์ศรี กล่าวว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้อภิสิทธิ์ซื้อแอลพีจีเป็นวัตถุดิบในราคาถูก โดยอ้างว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มจำนวนมาก แต่มูลค่าเพิ่มเหล่านั้นตกเป็นกำไรของบริษัทเอกชน ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ นายปิยสวัสดิ์ รีบแย้งว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ เพราะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้า ขณะที่ราคาแอลพีจีที่ขายให้ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งนั้น มีการชดเชยจำนวนมากแล้ว และในต่างประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่เอาแอลพีจีมาเผาทิ้งในรถยนต์ เพราะสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า
“มนูญ” ฉุน โดนซัก อุตฯปิโตรเคมีใช้แอลพีจีมากกว่าภาคอื่น
นายปานเทพ ถามย้ำว่า จากตารางภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้แอลพีจี 37% แสดงว่าใช้มากกว่าภาคขนส่งและครัวเรือนใช่หรือไม่ นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน และอดีตผู้บริหารบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ตอบว่า 37% นั้นเป็นการใช้จากโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นรวมกัน แต่ถ้าใช้จากโรงแยกก๊าซอย่างเดียวก็พอๆ กันกับภาคอื่นๆ พ.ท.แพทย์หญิง กมลพันธุ์ จึงถามย้ำว่า ไม่ต้องแยกระหว่างโรงแยกก๊าซและโรงกลั่น ให้ตอบตรงๆ ว่าใช้มากกว่าภาคอื่นหรือไม่ ทำให้ นายมนูญ มีอารมณ์แย้งกลับว่า อย่าถามแบบทนาย ตนไม่ใช่จำเลยของใคร ทำให้บรรยากาศการเสวนาตึงเครียดขึ้น หลวงปู่พุทธะอิสระจึงขอให้สองฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง และ นายปิยสวัสดิ์ ได้ตอบว่า จากตัวเลขก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ 37% ขณะภาคครัวเรือนและขนส่งใช้ 63% แสดงว่ามากกว่าภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่แล้ว
“ปานเทพ” ถามอุตฯ ปิโตรเคมี จ่ายกองทุนน้อย
นายปานเทพ ถามอีกว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำไมจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันและเชื้อเพลิงแค่ 1 บาท ทั้งที่ซื้อแอลพีจีเป็นวัตถุดิบแค่ราคา 11 บาทกว่า แต่ภาคขนส่งและครัวเรือนจ่ายเข้ากองทุนมากกว่าทั้งที่ซื้อในราคาที่แพงกว่า นายปิยสวัสดิ์ บอกว่า ราคาเฉลี่ยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซื้อแอลพีจีคือ 22 บาทต่อกิโลกรัม และไม่ได้รับการชดเชยจากกองทุนในช่วงแรกเหมือนภาคครัวเรือนและขนส่ง จึงเก็บเงินเข้ากองทุนแค่ 1 บาท
หม่อมกรณ์ฯ เสนอ ภาคอุตฯ ใช้แอลพีจีนำเข้า
หม่อมหลวง กรณ์กสิวัฒน์ ถามว่า ประเทศไทยผลิตแอลพีจีได้ปริมาณมากพอที่จะใช้ในภาคครัวเรือนและขนส่ง เพราะฉะนั้นถ้าให้แอลพีจีที่ผลิตได้นำมาใช้เฉพาะภาคภาคครัวเรือน และขนส่งที่ประสบความเดือดร้อนได้หรือไม่ ส่วนภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีให้นำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศมาใช้ นายปิยสวัสดิ์ ตอบว่า ถ้าจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล และเราต้องดูที่มาที่ไปของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
“บุญยืน” ซัด ปตท.เสือนอนกิน
น.ส.บุญยืน ศิริธรรม อดีต ส.ว.สมุทรสงคราม และนักต่อสู้เพื่อปฏิรูปพลังงาน ถามว่า ปตท. สามารถกำหนดราคาซื้อเองได้ อย่างนี้เป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่ ปตท. เป็นเสือนอนกินใช่หรือไม่ นายปิยสวัสดิ์ ตอบว่า ปตท. ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ จะทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่ก็ต้องคำนึงถึงผู้ถือหุ้นด้วย เนื่องจากมีเอกชนถือหุ้น 49% จะต้องต้องทำตามกฎหมายของหลักทรัพย์
“วีระ” ถามแสกหน้า ใครถือหุ้น ปตท.บ้าง
นายวีระ สมความคิด ได้ลุกขึ้นถามถามว่า ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนี้มีใครถือหุ้น ปตท. บ้าง นายปิยสวัสดิ์ ตอบว่า ตนถืออยู่ 4,400 หุ้น ซึ่งไม่ใช่ข้อห้าม เพราะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง เพียงแต่ถ้าจะซื้อขาย ต้องแจ้งตลาดหลักทรัพย์ หม่อมหลวง กรณ์กสิวัฒน์ ถามเพิ่มเติมว่า เพื่อความชัดเจนควรถามว่า ใครถือหุ้นบริษัทในเครือ ปตท. ด้วยบ้าง และมูลค่าหุ้นทั้งหมดเท่าไหร่ นายปิยสวัสดิ์ บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องไปตรวจสอบก่อน และจะส่งรายละเอียดให้อีกครั้ง ขณะที่นายไพรินทร์ตอบว่าสามารถเปิดดูได้ในรายงานประจำปีของ ปตท. หรือเข้าไปดูในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์
นายวีระ จึงถามย้ำว่า ตกลงมีหรือไม่มี และมีเท่าไหร่ นายไพรินทร์ ตอบว่า ต้องไปดูรายละเอียดก่อน นายวีระ จึงถามอีกว่า แสดงว่ามีมากใช่ไหม ทำให้มีเสียงฮือฮาจากผู้ร่วมเสวนา หลวงปู่พุทธะอิสระจึงบอกว่าให้ทั้งสองฝ่ายอย่าทะเลาะกัน และหลวงปู่ฯ ขอถามแทนว่าใครมีหุ้น ปตท. บ้างขอให้ยกมือ ซึ่งปรากฏว่า นายปิยสวัสดิ์ และนายไพรินทร์ยกมือหลวงปู่ฯ จึงบอกว่าให้ส่งรายละเอียดมาให้ทีหลัง
“ปิยสวัสดิ์” รับมีส่งออกเบนซีน-อ้างไม่มาก-ราคาไม่ถูก
ต่อมามีการซักถามในประเด็นการส่งออกน้ำมันเบนซีนและน้ำมันเตาในราคาที่ถูกกว่าราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย โดยนายปิยสวัสดิ์ตอบว่า เราส่งออกน้ำมันเบนซีน เพราะว่าในระยะหลังผู้ใช้รถยนต์หันไปใช้เชิงเพลิงเป็นแอลพีจี เอ็นจีวี หรือน้ำมันดีเซลมากขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซีนคนที่อยู่ที่ 20 ล้านลิตรต่อวัน เราจึงมีเบนซีนเหลือส่งออก อย่างไรก็ตาม น้ำมันสำเร็จรูปที่ส่งออกเป็นแค่ส่วนน้อย และส่งออกไปหลายประเทศ ส่วนจะส่งออกลิตรละเท่าไหร่ ขึ้นกับว่าส่งไปที่ไหน แต่ละตลาดราคาแตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีอยู่ที่กรมศุลกากร ส่วนราคาที่ส่งออกก็ไม่ได้ถูกอะไร และคุณภาพก็อาจไม่เหมือนที่ขายในประเทศ ส่วนราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 20 กว่าบาทต่อลิตร ซึ่งถูกกว่าราคาขายในประเทศ เพราะว่าเขาเสียค่าขนส่ง และไม่รวมภาษี
“ไพรินทร์” รับ กำไร ปตท.ปีละแสนล้าน ร้อยละ 40 ปันผลผู้ถือหุ้น
ต่อมามีการเปิดให้ประชาชนที่เข้าร่วมเสวนาได้ซักถาม ได้มีผู้ถามถึงกำไรจำนวนมหาศาลของ ปตท. ในแต่ละปี ซึ่งนายไพรินทร์ ยอมรับว่า ปตท. มีกำไรปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท หลังจากหักภาษี กำไรจำนวนนี้จะนำไปปันผลให้ผู้ถือหุ้น 40% และรัฐบาลก็ถือหุ้น ปตท. อยู่ 67% เพราะฉะนั้น เงินกำไรของ ปตท. ก็จะเข้ารัฐด้วย
ส่วนคำถามที่ว่าถ้ารัฐจะซื้อหุ้น ปตท. คืนจากเอกชนในราคาหุ้น 35 บาท จะได้หรือไม่ นายไพรินทร์ ตอบว่า หลังจากแปรรูปแล้ว ปตท. เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็ยังเป็นรัฐวิสาหกิจเพราะมีรัฐถือหุ้นอยู่เกิน 50% และผู้สอบบัญชีก็ยังเป็น สตง. เพราะฉะนั้นจึงถือว่า ปตท. อยู่ภายใต้กฎหมายตลาดหลักทรัพย์และกฎหมายรัฐวิสาหกิจ
“มนูญ” แถ ตั้งราคาสิงคโปร์ประกันความเสี่ยงให้ผู้บริโภค
กรณีการตั้งราคาจำน่ายน้ำมันโดยอ้างอิงราคาสิงคโปร์ โดยบวกค่าขนส่ง ค่าน้ำมันหกหล่นสูญหาย ค่าประกัน ซึ่งถือเป็นต้นทุนเทียม นายมนูญ ตอบ ราคาที่ตั้งตามตลาดสิงคโปร์ เป็นแค่ราคาอ้างอิง หลวงปู่ฯ จึงถามว่าเป็นราคาเก็บจริงหรือไม่ นายมนูญ ยอมรับว่า เก็บจริง หลวงปู่ฯ จึงบอกว่านั่นหละคือปัญหา นายมนูญ จึงพูดใหม่ว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเทียม หลวงปู่ฯจึงแย้งว่า เราไม่ได้ซื้อน้ำมันจากสิงคโปรไม่ใช่หรือ นายมนูญ อ้างว่า เราซื้อน้ำมันจากตะวันออกกลาง แต่เราไม่ตั้งราคาตามต้นทุน เพราะนั่นเป็นการประกันความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการ แต่เราตั้งตามราคาสิงคโปร์ เพื่อเป็นการประกันความเสียงให้ผู้บริโภค หลวงปู่ฯ จึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าบวกเยอะได้ไหม หรือถ้าน้ำมันที่นำเข้าจากต่างประเทศก็ตั้งราคาตามต่างประเทศ แต่น้ำมันที่ผลิตในประเทศก็ตั้งราคาตามต้นทุนในประเทศ
“ม.ล.จุลเจิม” ซัด ไม่สำนึกบุญคุณบุรพกษัตริย์
ด้าน ม.ล.จุลเจิม ยุคล ในฐานะประชาชนผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แสดงความคิดเห็นว่า ทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีอยู่ทุกวันนี้ บุรพกษัตริย์ได้ปกป้องรักษาไว้ให้พวกเรา แต่ทำไมเราไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ กลับไปยกย่องบริษัทต่างชาติ เช่น เชฟรอน ว่ามีบุญคุณกับเรา นายคุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ตอบว่า พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ได้ออกมาโดยชอบ มีพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การให้สัมปทานก็ทำโดยชอบตามกฎหมาย และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงไม่ได้ห้ามเอาทรัพยากรมาทำประโยชน์ ไม่ได้ห้ามเอกชนมาสำรวจ และความจริงกฎหมายปิโตรเลี่ยมนั้นมีประโยชน์ ทำให้เรามีปิโตรเลียมเพิ่มพูนขึ้นมาก จากที่เราเคยนำเข้า 100% ตอนนี้เรานำเข้าแค่ 45%
หลังจากนั้น ในช่วงเวลา 13.00 น.เป็นต้นไป ได้เปิดโอกาสให้มีการเสนอทิศทางการปฏิรูปพลังงาน โดยหลวงปู่พุทธะอิสระจะรวบรวมเพื่อนำเสนอต่อ คสช.ในวันถัดไป

หลวงปู่พุทธะอิสระเผยผลถกพลังงาน : http://youtu.be/oEwSJ09WWdw

ปิยสวัสดิ์ ยอมรับว่าไม่ได้ส่งคืนท่อก๊าซในทะเล โดยอ้าง..ศาลไม่ได้สั่งให้คืน
อ้าว... ถึงคุกนะครับ อ่านคำพิพากษาไม่เข้าใจ แล้วทำมึนไม่คืน ... ยักยอกทรัพย์ คุกนะครับ
ปิยสวัสดิ์ ลั่นแยกทรัพย์สิน ปตท. ตามคำสั่งศาลปกครองแล้ว รับยังส่งท่อก๊าซไม่ครบ

วันที่ 27 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จัดเสวนาถามตอบปัญหาพลังงานแห่งชาติ โดยนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ปตท. หรือ บอร์ด ปตท. นพ.มนูญ ศิริวรรณ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเสวนา

ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. มอบหมายให้มี พล.อ.ต.สราวุธ กลิ่นพันธุ์ มาร่วมการเสวนาแทน โดย ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานตั้งคำถามว่า ปตท.ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่สั่งการให้ ปตท.แบ่งแยกทรัพย์สินและคืนท่อก๊าซให้กับประชาชนหรือไม่

ซึ่งนายปิยสวัสดิ์ ชี้แจงว่าบริษัท ปตท.ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองที่สั่งให้แบ่งแยกทรัพย์สิน โดยได้ทำตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2553 ทุกอย่าง



ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
ขณะที่ ม.ล.กรกสิวัฒน์ นำข้อมูลแย้งอีกว่า ในหนังสือคำสั่งของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มีหนังสือแจ้งว่า ปตท. ยังส่งมอบทรัพย์สินไม่ครบ คือ ท่อก๊าซที่วางอยู่ในทะเล ซึ่ง นายปิยสวัสดิ์ยอมรับว่า ท่อก๊าซ ปตท.ยังไม่ได้ส่งคืนให้กระทรวงการคลังเพราะในคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ ปตท.ต้องส่งคืนท่อก๊าซ

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงช่วงนี้ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมเริ่มดุเดือดหลังคำชี้แจงของ นายปิยสวัสดิ์ กลุ่มค้านพลังงานได้ลุกขึ้นโต้แย้ง จนทำให้ หลวงปู่พุทธะอิสระที่ทำหน้าที ผู้ดำเนินรายการและควบคุมบนเวทีเสวนายุติการโต้แย้งในประเด็นคำสั่งศาลปกครองให้คืนหรือไม่คืนท่อก๊าซ โดยบอกว่าหากยังไม่มีข้อยุติ ตัวเองจะเป็นผู้ยื่นคำร้องให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาใหม่ และสั่งให้ผู้เห็นต่างห้ามตะโกนโห่ผู้ชี้แจงบนเวที

สรุปสาระสำคัญในการดีเบต @สโมสร ทบ. วันที่ 27 ส.ค.57 เวลา 09.20 - 13.00 น.ที่ สโมสร ทบ. ถ.วิภาวดี ฯ เพิ่มเติม การเสวนาถาม ตอบ การปฏิรูปพลังงาน เพื่อความปรองดองของชาติ จัดโดย สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยทางฝ่าย ที่ตั้งคำถามเป็นตัวแทนนักวิชาการ อาทิ - นายวีระ สมความคิด - ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี - นางบุญยืน ศิริธรรม - นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา - นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ - พ.ท. พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี - ส่วนฝ่ายผู้ตอบ ฝั่งปตท.และกระทรวงพลังงาน นำโดย ดร.ปิยสวัสดิ์ อมรานันท์ ประธานบอร์ด ปตท. และทีมกฎหมายของทางปตท. ซึ่งมี หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นประธานในการจัดการเสวนา และเป็นตัวกลางในการถามตอบ ทั้งนี้การถามตอบของฝ่ายปฏิรูปพลังงาน กับ หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทปตท.จำกัด มหาชน ซึ่งผู้ชี้แจงต้องมีการยื่นเอกสารประกอบ และต้องรับผิดชอบคำพูดของตนเอง ซึ่งทั้งหมดจะมีผลทางกฎหมายสำหรับประเด็นสำคัญ มีดังนี้ 
1.  ประเด็น แยกทรัพย์สินที่เป็นของรัฐ และ ของบริษัท ปตท. ออกจากกัน และคืนทรัพย์สินของรัฐให้กับรัฐ - นายวีระ สมความคิด ได้ตั้งถามถึง คำสั่งศาลปกครองที่ ปตท.ใช้ในการอ้าง ว่า ปตท.การคืนท่อก๊าซ ครบแล้ว ยังไม่ได้พิจารณา ถึงข้อเสนอของ สตง.ที่ระบุว่า ปตท.ยังคืนทรัพย์ไม่ครบ ซึ่ง ทาง สตง. เคยขอให้ศาลปกครอบเอาเรื่องการคืนท่อก๊าซ พิจารณาใหม่  ม.ล. กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กล่าวถึง มติ ครม วันที่ 10 สิงหาคม 2553 ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ระบุ ว่า ปตท. ต้องแบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นของรัฐ และ ของบริษัท ปตท. ออกจากกัน และคืนทรัพย์สินของรัฐให้กับรัฐ ทั้งนี้เมื่อในการประชุม ครม.วันที่ 23 ต.ค. 2555 ทาง ครม.ก็มีการรับทราบว่า ปตท. คืนครบแล้ว แต่เมื่อ ม.ล. กรกสิวัฒน์ ตรวจสอบ ไปยัง สตง. กลับพบ ว่า ปตท.ยังคืนท่อก๊าซไม่ครบ - นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ได้ตอบคำถามว่า ศาลปกครองสั่งให้คืนท่อก๊าซที่อยู่บนบก ไม่ได้ระบุว่า ให้คืนทั้งหมด ซึ่ง ปตท. ก็ได้คืนไปหมดแล้วตามคำสั่งศาลปกครอง เวลา 10.40 น. บรรยากาศ ในห้องประชุมเริ่มวุ่นวาย ทางพระพุทธอิสระ ให้ภาคประชาชนและ ทาง ปตท.ไปเตรียมเอกสารและหลักฐานมายื่นกับตน เพื่อที่จะนำไปยื่น ต่อศาลปกครอง เพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งคืนท่อก๊าซ แล้วจึงข้ามไปหัวข้อเรื่องโครงสร้างก๊าซ LPG 2 ประเด็น โครงสร้างก๊าซ LPG โดยหลวงปู่พุทธอิสระ เป็นคนนำตั้งคำถามให้ฝ่าย ปตท. ตอบ โดยเฉพาะในประเด็นโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซื้อได้ในราคา ที่ถูกกว่าภาคขนส่งและภาคครัวเรือน - ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ได้ขอให้ปตท. เปิดรายชื่อบริษัทที่ซื้อปิโตรเคมีทั้ง
2.  ส่วน ว่ามีบริษัทใดบ้าง - นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ ได้ชี้แจงว่าการเปิดชื่อบริษัทจะทำให้เกิดความสับสน และความเข้าใจผิดกับประชาชน จึงจะส่งเอกสารบริษัทต่างๆ แทน - ม.ล.กรกสิวัฒน์ เปิดรายชื่อ บริษัทบ้างบริษัทที่ซื้อ ปิโตรเคมีในราคา19 บาท เช่น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการตั้งขอสังเกตต่อว่า บริษัทที่ซื้อปิโตรเคมี ในราคา 19 บาท จะเป็นบริษัทที่ ปตท. เข้าไปถือหุ้นอยู่ - นายปิยสวัสดิ์ ชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้องกันแต่จะดูที่สัญญาต่างๆ และปตท. ไม่ได้มีเจตนาในการเปิดบริษัทลูกเพื่อซื้อสินค้าในราคาถูกกว่าตลาด แต่การเปิดบริษัทด้านปิโตรเคมี ถือเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี - คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต กรรมการมูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตอบคำถามว่า ราคาจะถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับว่าราคาเม็ดพลาสติกจะถูกหรือแพง และพยายามชี้แจงว่า ราคาเฉลี่ยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซื้อคือ 22 บาทกว่าๆ - พ.ท. พญ.กมลพันธุ์ ชีวะพันธุ์ศรี กล่าวว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ใช้อภิสิทธิ์ซื้อ LPG เป็นวัตถุดิบในราคาถูก โดยอ้างว่าเป็นอุตสาหกรรม ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจำนวนมาก แต่มูลค่าเพิ่มเหล่านั้น ตกเป็นกำไรของบริษัทเอกชน ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ - นายปิยะสวัสดิ์ แย้งว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไม่ได้ใช้อภิสิทธิ์ เพราะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้า ขณะที่ราคา LPG ที่ขายให้ภาคครัวเรือน และภาคขนส่งนั้น มีการชดเชยจำนวนมากแล้ว และในต่างประเทศที่เจริญแล้ว เขาไม่เอา LPG มาเผาทิ้ง ในรถยนต์เพราะสามารถนำ ไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า - นายปานเทพ ถามย้ำว่า จากตารางภาคอุตสาหกรรม ปิโตรเคมีใช้ LPG 37% แสดงว่าใช้มากกว่า ภาคขนส่งและครัวเรือนใช่หรือไม่ - นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน และอดีตผู้บริหารบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ตอบว่า 37% นั้นเป็นการใช้จากโรงแยกก๊าซ และโรงกลั่นรวมกัน แต่ถ้าใช้จากโรงแยกก๊าซอย่างเดียว ก็พอๆ กันกับภาคอื่นๆ - พ.ท.พญ.กมลพันธุ์ จึงถามย้ำว่า ไม่ต้องแยกระหว่างโรงแยกก๊าซและโรงกลั่น ให้ตอบตรงๆ ว่าใช้มากกว่าภาคอื่นหรือไม่ - นายมนูญ มีอารมณ์แย้งกลับว่า อย่าถามแบบทนาย ตนไม่ใช่จำเลยของใคร ทำให้บรรยากาศ การเสวนาตึงเครียดขึ้น หลวงปู่พุทธะอิสระ จึงขอให้สองฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง - นายปิยสวัสดิ์ได้ตอบว่า จากตัวเลขก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ 37% ขณะภาคครัวเรือนและขนส่งใช้ 63% แสดงว่ามากกว่าภาคอุตสาหกรรม ปิโตรเคมีอยู่แล้ว - นายปานเทพ ถามอีกว่าทำไมจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันและเชื้อเพลิงแค่ 1 บาท ทั้งที่ซื้อแอลพีจีเป็นวัตถุดิบราคา 11 บาทกว่า แต่ภาคขนส่งและครัวเรือน จ่ายเข้ากองทุนมากกว่า ทั้งที่ซื้อในราคาที่แพงว่า - นายปิยสวัสดิ์ บอกว่า ราคาเฉลี่ยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซื้อ LPG คือ 22 บาทต่อกิโลกรัม และไม่ได้รับการชดเชยจากกองทุน ในช่วงแรกเหมือนภาคครัวเรือนและขนส่ง จึงเก็บเงินเข้ากองทุนแค่ 1 บาท - ม.ล. กรกสิวัฒน์ ถามว่า ประเทศไทยผลิต LPG ได้ปริมาณมากพอที่จะใช้ในภาคครัวเรือนและขนส่ง เพราะฉะนั้นถ้าให้ LPG ที่ผลิตได้นำมาใช้เฉพาะภาคครัวเรือน และขนส่ง ที่ประสบความเดือดร้อนได้หรือไม่ ส่วนภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ให้นำเข้า LPG จากต่างประเทศมาใช้ - นายปิยสวัสดิ์ ตอบว่าถ้าจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล และเราต้องดูที่มาที่ไปของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และรัฐบาล พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ - น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ถามว่า ปตท.สามารถกำหนดราคาซื้อเองได้ อย่างนี้เป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่ ปตท. เป็นเสือนอนกินใช่หรือไม่ - นายปิยสวัสดิ์ ตอบว่า ปตท. ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ จะทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่ก็ต้องคำนึงถึงผู้ถือหุ้นด้วย เนื่องจากมีเอกชนถือหุ้น 49% จะต้องต้องทำตามกฎหมาย ของหลักทรัพย์ 
3.  ประเด็นการถือหุ้น ปตท. - นายวีระ สมความคิด ได้ลุกขึ้นถามถามว่า ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนี้มีใครถือหุ้น ปตท. บ้าง - นายปิยสวัสดิ์ ตอบว่า ตนถืออยู่ 4,400 หุ้น ซึ่งไม่ใช่ข้อห้าม เพราะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง เพียงแต่ถ้าจะซื้อขาย ต้องแจ้งตลาดหลักทรัพย์ - ม.ล. กรกสิวัฒน์ ถามเพิ่มเติมว่า เพื่อความชัดเจนควรถามว่า ใครถือหุ้นบริษัทในเครือ ปตท. ด้วยบ้าง และมูลค่าหุ้นทั้งหมดเท่าไหร่ - นายปิยสวัสดิ์บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องไปตรวจสอบก่อน และจะส่งรายละเอียดให้อีกครั้ง - นายไพรินทร์ ตอบว่าสามารถเปิดดูได้ ในรายงานประจำปีของ ปตท. หรือเข้าไปดูในเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ - นายวีระ จึงถามย้ำว่า ตกลงมีหรือไม่มี และมีเท่าไหร่ - นายไพรินทร์ ตอบว่า ต้องไปดูรายละเอียดก่อน - นายวีระจึงถามอีกว่า แสดงว่ามีมากใช่ไหม ทำให้มีเสียงฮือฮาจากผู้ร่วมเสวนา - หลวงปู่พุทธะอิสระ จึงบอกว่าให้ทั้งสองฝ่ายอย่าทะเลาะกัน และหลวงปู่ฯ ขอถามแทนว่าใครมีหุ้น ปตท. บ้างขอให้ยกมือ ซึ่งปรากฏว่า นายปิยสวัสดิ์ และนายไพรินทร์ยกมือ หลวงปู่ฯ จึงบอกว่าให้ส่งรายละเอียด มาให้ทีหลัง จากนั้นข้ามประเด็นนี้ไป 
4.  ประเด็นการส่งออกน้ำมันเบนซีน และน้ำมันเตา มีการซักถามในประเด็นการส่งออก น้ำมันเบนซินและน้ำมันเตา ในราคาที่ถูกกว่าราคาขายปลีก น้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย โดย - นายปิยสวัสดิ์ตอบว่า เราส่งออกน้ำมันเบนซิน เพราะว่าในระยะหลังผู้ใช้รถยนต์หันไปใช้เชิงเพลิงเป็นแอลพีจี เอ็นจีวี หรือน้ำมันดีเซลมากขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินคนที่อยู่ที่ 20 ล้านลิตรต่อวัน เราจึงมีเบนซินเหลือส่งออก อย่างไรก็ตามน้ำมันสำเร็จรูปที่ส่งออกเป็นแค่ส่วนน้อย และส่งออกไปหลายประเทศ ส่วนจะส่งออกลิตรละเท่าไหร่ ขึ้นกับว่าส่งไปที่ไหน แต่ละตลาดราคาแตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีอยู่ที่กรมศุลกากร ส่วนราคาที่ส่งออกก็ไม่ได้ถูกอะไร และคุณภาพก็อาจไม่เหมือนที่ขายในประเทศ ส่วนราคาส่งออก เฉลี่ยอยู่ที่ 20 กว่าบาทต่อลิตร ซึ่งถูกกว่าราคาขายในประเทศ เพราะว่าเขาเสียค่าขนส่ง และไม่รวมภาษี ขณะรายงาน ยังคงอยู่ในระหว่างให้ประชาชน ที่ร่วมรับฟัง ตั้งคำถาม โดยให้ ฝั่งปตท. และกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ตอบ - สรุปการเสวนาในวันนี้เพื่อเป็นแนวทาง ในการนำเสนอและหาทางการลดราคาน้ำมัน และแก๊สหรือยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ขอให้ยกเลิกสูตรกำหนดราคา โดยให้รวบรวมข้อเสนอทั้งหมด มามอบให้หลวงปู่พุทธอิสระ เพื่อจัดทำเป็นรูปเล่มแล้วจะนำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป และ คสช. ต่อไป เวทีเสวนายุติแต่เวลานี้ 15.35 น.ส่วนจะจัดเวทีอีกครั้งในพลังงานทางเลือก จะกำหนดอีกครั้ง แยกย้ายเดินทางกลับ - การเสวนาถาม ตอบ การปฏิรูปพลังงาน เพื่อความปรองดองของชาติ จัดโดย สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยเป็นช่วงเปิดโอกาสให้ประชาชน ที่ร่วมรับฟังตั้งคำถาม โดยให้ ฝั่งปตท. และกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ตอบ พร้อมให้ประชาชนที่ร่วมรับฟัง และนักวิชาการที่อยู่บนเวที เสนอเสนอทิศทางการปฏิรูปพลังงาน “ภายหลังร่วมกัน เสนอแนวทาง การปฏิรูปพลังงาน" เสร็จสิ้น ทั้งนี้ หลวงปู่พุทธอิสระ ได้กล่าวว่า ขอให้ผู้ที่ร่วม เสนอทิศทางการปฏิรูปพลังงานทุกคน ในวันนี้ ส่งให้ทีมงาน เพื่อให้หลวงปู่พุทธอิสระ รวบรวม นำไปเสนอต่อ คสช. ในวันถัดไป นอกจากนี้ หลวงปู่พุทธอิสระ ยังเปิดโอกาสให้ ตัวแทน ปตท. และกระทรวงพลังงาน เสนอข้อคิดเห็น โดยส่วนใหญ่เป็นการยอมรับ ความคิดเห็นของประชาชน พร้อมให้ประชาชน ร่วมกันช่วยประหยัดพลังงานในทุกด้าน เพื่ออนาคตของลูกหลาน ด้านนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วม และวิทยากรทุกคน ที่ร่วมเสวนาในวันนี้ ที่มีวินัยในการรับฟัง และแสดงความคิดเห็น ทำให้การจัดงานเป็นไปด้วยความราบรื่น ทั้งนี้ นางบุญยืน ศิริธรรม ได้เสนอให้ คสช. จัดการเสวนาอีกครั้ง ในเรื่องพลังงานทางเลือก เพราะยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง โดย หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวว่ารับไว้พิจารณา หลวงปู่พุทธอิสระ ได้กล่าวถึงการจัดเสวนาเกิดขึ้นได้ เพราะอยากให้ทุกฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องพลังงาน มาพูดคุยกันเพื่อหาข้อยุติ โดยวันนี้ถือว่าการจัดในวันนี้ คงจะมีความเข้าใจกันในระดับหนึ่ง ในส่วนเรื่องพลังงานทางเลือก ที่จะมีการจัดเสวนาในครั้งต่อไปหรือไม่นั้น จะมีการประสานมาพูดคุยกันอีกครั้ง พร้อมขอบคุณ ทุกฝ่ายทุกคน ที่มาร่วมเสวนาในวันนี้ ในส่วนข้อเสนอในวันนี้ หลวงปู่พุทธอิสระ จะรวบรวมนำเสนอต่อ คสช. ในสัปดาห์หน้า หากไม่ทัน ก็เป็นสัปดาห์ ถัดไป จากนั้นกล่าวปิดการเสวนา - เวลา15.35 น.ยุติการเสวนา ประชาชนทยอยเดินทางกลับ

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หยุดปิดหู-ปิดตา-ปิดปาก ประชาชน



 

ผมเขียนความจริง ไม่ได้เขียนเพื่อความเกลียดชัง เขียนเพื่อให้เกิดสำนึก สำนึกที่คุณบอกว่าคุณมี แต่ดูเหมือนจะหลับอยู่เพราะการกระทำมันไม่ใช่ ไม่ใช่เพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อประชาชน แต่เพื่อกลุ่มทุน

มีการปิดตา ปิดหู ปิดปาก ในเรื่องพลังงานภาคประชาชน อย่างเห็นได้ชัด คุณเป็นใครจะมาเลือกว่าใครจะได้พูด ใครไม่ได้พูด ตั้งกันเอง ตัดสินกันเอง ว่าจะทำอย่างไหร ทั้งที่อธิปไตยเป็นของปวงชน ของประชาชน แต่ไม่มีการดำเนินให้ประชาชนได้พูด ได้รับฝัง กันอย่างเสมอภาค หรือว่าอธิปไตยจะเป็นของพวกคุณกับกลุ่มทุนเท่านั้น

ทำในสิ่งที่ถูกเถิดก่อนที่จะสายเกิน

เฟซบุ๊คผมโดนปิดไป หายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่มีรีพอร์ตจากทางเฟซบุ๊ค ต่อไปนี่คือบทความสุดท้ายที่ผมได้โพสต์ไปก่อนที่จะโดนปิด เอามาให้อ่านกันใหม่

การยึดอำนาจป้องกันความรุนแรงจลาจล ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ยักยอกสาธารณสมบัติของชาติ ของประชาชน

ท่อส่งก๊าซเป็นสาธารณสมบัติของชาติ ของประชาชน 100%
ศาลสั่งให้คืนชาติ คืนประชาชน กลับไม่สน มาร่วมกับโจร ยักยอกท่อให้เอกชน
ยังจะมาด้าน แถว่าคนอื่นบิดเบือน ผู้ใดร่วมปล้นกับโจร ผู้นั้นก็คือโจร

การยักยอกท่อก๊าซ  คือการปล้นอธิปไตยทางเศรษฐศาสตร์
ผู้ใดขายให้ประชาชนเป็นทาส ขายชาติให้เป็นอาณานิคมของนายทุน
ผู้นั้นคือศัตรูของชาติ ศัตรูของประชาชน

ท่อก๊าซธรรมชาติยังเป็นของรัฐทั้ง 100% จะต้องมาโอนให้เอกชนทำไม แล้วบอกว่าจะโอนกลับ อ่านให้ดี เลิกแถข้างๆคูๆ และเลือกเอาว่าตัวเองจะเป็นอะไร

บางช่วงบางตอนจากเพจ : รสนา โตสิตระกูล :

"โปรดพินิจคำพิพากษาให้ถ่องแท้"

“ดูเหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้คณะรัฐมนตรี และ บมจ. ปตท. ไปกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในคำพิพากษาหน้า70 -71 ว่า

" ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปตท. มีสถานะเป็นนิติบุคคลและเป็นองค์การของรัฐซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำกิจการของรัฐ โดยทุนทั้งหมดของปตท. ได้มาจากเงิน และทรัพย์สินของรัฐที่รับโอนมาจากกระทรวงกลาโหมในส่วนของกรมการพลังงานทหาร และโรงกลั่นน้ำมัน องค์การเชื้อเพลิงและองค์การก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งเงินที่รัฐบาลจัดสรรให้ ทรัพย์สินดังกล่าวของปตท. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามมาตรา 9 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2521......
 
....ปตท. จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2521 โดยได้รับทุนทั้งหมดมาจากรัฐ และรัฐยังจัดสรรเงินให้ ปตท. มาโดยตลอด อีกทั้งอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ก็เป็นอำนาจมหาชนของรัฐที่ฝ่ายนิติบัญญัติมอบให้แก่ ปตท. ซึ่งเป็นองค์การของรัฐเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่งปิโตรเลียม เพื่อจัดสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียม โรงแยกก๊าซ ท่าเรือ คลังปิโตรเลียม หรือเพื่อใช้ในการวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นอันจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับกิจการของรัฐตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และในส่วนของการใช้อำนาจมหาชนเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นั้น รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลตลอดมาว่า การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อกิจการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เท่านั้น เช่น กิจการเพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค และเพื่อการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ... และต้องใช้เพื่อประโยชน์ในกิจการของรัฐเท่านั้น "

ท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามที่ศาลฯระบุในคำพิพากษาหน้า 78 ว่า "การที่ปตท.ได้เปลี่ยนสภาพจากองค์การของรัฐซึ่งเป็นนิติบุคคลมหาชน ไปเป็นบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่4(บมจ.ปตท.) จึงมิได้มีสถานะเป็นองคาพยพของรัฐอีกต่อไป และไม่อาจมีอำนาจมหาชนของรัฐ รวมทั้งไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของปตท. ที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแทนรัฐได้ จึงต้องโอนสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวกลับไปเป็นของรัฐ.."

สรุปคำพิพากษาชัดเจนเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก "ระบบท่อก๊าซธรรมชาติ อันประกอบด้วย ท่อส่งก๊าซ ท่าเรือ โรงแยกก๊าซ และคลังปิโตรเลียม ฯลฯ เป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจมหาชน เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและวันนี้ยังเป็นของรัฐ100%"

ดิฉันอยากฟังว่ามีหน่วยราชการใดบ้างที่กล้าออกมายืนยันว่า"ท่อก๊าซธรรมชาติทั้งระบบในคำพิพากษาไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน"มาตั้งแต่ก่อนแปรรูป จนกระทั่งถึงวันนี้

ดังนั้นหาก…มีเจตนารมณ์ในการจะให้รัฐถือหุ้นในกิจการท่อก๊าซธรรมชาติทั้ง 100%จริง ก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอไปทำในอนาคตระยะยาว เพราะวันนี้ท่อก๊าซธรรมชาติยังเป็นของรัฐทั้ง 100%ดังกล่าวแล้ว
 
 
ไม่มีการจัดการโจรล้มเจ้าเผาบ้านเผาเมือง หลักฐานก็มีแต่ไม่เอาออกมา ไม่มีการจัดการให้เรื่องพลังงานเป็นธรรม เป็นของประชาชน แต่เป็นไปในทางตรงกันข้าม แทนที่จะร่วมกำชับกดดันให้เกิดขึ้นในทางที่ต้องการ กลับมากล่าวหาว่าผู้พยายามกำชับกดดันเพื่อให้เกิดขึ้น อันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อชาติ ศาศนา พระมหากษัตริย์ ประชาชน พร้อมลูกหลานในอนาคต ว่าผู้นั่นเป็นผู้ทำลายชาติ


จับ"วีระ"พร้อมกลุ่มขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน

ตำรวจจับ "วีระ สมความคิด" พร้อมกลุ่มขาหุ้นพลังงาน 7 คนขณะเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ชัยฯ "อำนวย" แจงทำผิดกฎอัยการศึก เมื่อวันที่ 24 ส.ค.เวฃลาประมาณ 16.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนได้เข้าจับกุมกลุ่มขาหุ้นปฏิรูปพลังงานที่ จัดกิจกรรมเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังสวนจตุจักร....... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/VJwRuO

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"รักประยุทธ์-ต้องไว้ใจประยุทธ์"

 
เดลินิวส์ออนไลน์

โหรดังชี้'บิ๊กตู่'ทหารเอกพระองค์ดำกลับชาติมากอบกู้ประเทศ

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังแห่งสำนักสุขิโต จ.เชียงใหม่ เจ้าของฉายา "โหร คมช." เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศจนมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. ซึ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นในชาติที่แล้วคือทหารเอกของพระนเรศวร หรือพระองค์ดำที่กลับชาติมากอบกู้ประเทศ เพราะจากการดูบุญกรรมภูมิหลังในอดีตเมื่อชาติก่อน พอกลับมาเกิดชาตินี้ก็ต้องมารับหน้าที่กอบกู้แก้ไขปัญหาบ้านเมือง

การทำงานของนายกคนใหม่ คือการบริหารบ้านเมือง ฟื้นฟูเยียวยาประเทศที่บอบช้ำมานาน สิ่งเหล่านี้คือหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้ตลอด 40 ปี การทำงานรับใช้ประเทศของท่าน ควรจะต้องได้พักผ่อนแล้ว แต่ขณะนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะชาติบ้านเมืองต้องการคนดีมาแก้ไขปัญหา เป็นดวงชะตาของท่านนับแต่อดีตชาติ และต้องใช้เวลาพอสมควร ฉะนั้นการที่จะเลือกตั้งภายใน 1 ปี ไม่น่าทำได้อย่างน้อยต้อง 2 - 3 ปี จากนั้นบ้านเมืองจะสงบสุขเหมือนฟ้าหลังฝน ตอนนี้ดวงท่านมั่นคงแข็งแรงและมีบารมีมาก ขอให้มั่นใจว่าท่านแก้ไขปัญหาได้แน่.





เพื่อนฝากมาให้อ่าน..ขอฝากต่อ...
"รักประยุทธ์-ต้องไว้ใจประยุทธ์"
@@@: หลวงปู่ที่ผมเขียนถึงคือ "สมเด็จพระพนรัตวัดป่าแก้ว" นะครับ,... ไม่ใช่ท่านหลวงปู่พุทธอิสระ อย่างที่หลายท่านเข้าใจกัน ?/.... ท่านผ่านเข้ามาในนิมิต และท่านเป็นคนแรกที่บอกไว้ตรงๆเลยว่า "ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (พระชัยบุรี - ทหารเสือคนสุดท้ายที่หนุ่มสุดของสมเด็จพระองค์ดำ) จะออกมากู้ชาติราชบัลลังค์ (แก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง) จะทำการรัฐประหารและจะเป็นนายกรัฐมนตรี"!!!,... ในยุคซ้อนยุคระหว่างพระเจ้าอลองพญา-ผีพม่ากลับชาติมาเกิด และพระเจ้ามังระ - ยิ่งลักษณ์ - ที่ปล้นบ้านเผาเมือง !!!,... จนเกิด "นายแท่น (สนธิลิ้ม) - ผู้ใหญ่บ้านศรีบัวทอง" รวบรวมผู้คนเป็นกองทัพประชาชนพันธมิตรฯ (ชาวบ้านบางระจัน) ออกมาต่อต้าน และตอนหลังๆ ที่นายแท่นโดนปืนกระหนำยิง แม้จะไม่เข้าด้วยพุทธานุภาพคาถาอาคม แต่กระนั้นแรงกระสุนก็ทำให้กระดูกเข่าแตกจนเดินแทบไม่ได้ > จึงเกิดแกนนำคนใหม่คือท่านกำนันขุนสรรค์ (สุเทพเทือก สุบรรณ) นำมวลมหาประชาชนออกมาร่วมรบ จนถึงขั้นประกาศศึกยอมแตกหัก ด้วยมองเห็นว่ายืดเยื้อไปก็ตายเปล่าด้วยว่าขาดทุนทรัพย์, เสบียงกรัง, และปืนใหญ่ที่จะสู้ทัพจับศึกกับกองทัพพม่าได้ ...จึงยอมพลีชีพเพื่อชาติสู้จนตัวตายกันยกค่าย และปิดฉากประวัติศาสตร์ชาวบ้านบางระจัน กันแต่เพียงนั้น !!!,...
*** ชาวบ้านบางระจัน จึงเป็นตำนานของนักสู้ภาคประชาชน ของคนที่รักชาติรักแผ่นดิน ที่ต่อต้านระบอบทักษิณ (หรือระบอบ-อลองพญาในครั้งกระโน้น) ที่ไม่เคยชนะเด็ดขาด,... แต่ชนะเป็นช่วงๆ ต้านทัพพม่าไว้ ไม่ให้เข้าไปเผากรุงศรีได้ไวขึ้น หรือสมดังใจเท่านั้น !!!,... และจบลงแค่นั้นละครับ !!!,... เมื่อสิ้นแกนนำ ภาคประชาชนทั้งสองท่านนี้แล้ว,... ก็ไม่เคยมีแกนนำชาวบ้านธรรมดาๆ ท่านไหนปลุกม็อบชาวบ้านขึ้นมากู้ชาติกันอีกในรอบ สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา !!!,.... นับแต่นั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นเรื่องของทหารล้วนๆ ที่นำทัพจับศึกไปจนถึงกรุงศรีแตก !!!,...
-----------------------------------------------
@@@: แต่แผ่นดินสุวรรณภูมินี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ครับ !!!,... หากจะว่าไปแล้ว ต้นปฐมบรมราชวงศ์จักรี ที่ท่านสร้างกรุงเทพมหานครนี้ ก่อนวางเสาหลักเมืองนั้นมีอาเพศมากมาย และพระองค์ท่านได้เป็นผู้ทำนายไว้เองว่า "ราชวงศ์จักรีจะอยู่ยาวเพียง 150 ปี" (เข้าไปอ่านประวัติเสาหลักเมือง ที่หน้าเพจ"Boon Palagab"ได้) แต่ต่อเมื่อมาถึงในรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าฯ (ร.4) ท่านจึงสร้างและวางเสาหลักเมืองใหม่ >> จนมาถึงยุคสมัยที่สามยุวกษัตราธิราช (พระสุพรรณกัลยา  พระนเรศวรมหาราช  พระเอกาทศรถ) ที่เคยกู้ชาติกู้แผ่นดินไว้ ท่านสลับ-กลับมาเกิดอีกในยุคปัจจุบัน >> ชาติบ้านเมืองจึงดำรงอยู่ได้ และจึงยังมี "พระมหากษัตริย์อยู่คู่ชาติไทย" เป็นเอกองค์อุปถัมภกพระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะจบสิ้นพุทธันดร !!!,... และนี่ละครับ,... ผมจึงเป็นคนเขียนหนังสือที่มีความเชื่อและจุดยืนที่มั่นคงในชาติ-ศานา-พระ มหากษัตริย์ อย่างยิ่งและตอกย้ำอยู่เสมอว่า "ระบอบทักษิณไม่มีวันที่จะกลับมายิ่งใหญ่ได้" !!!,...
***เราจึงเห็นขบวนการใต้ดินจากอเมริกา ของไอ้คนขายชาติขี้ข้าทักษิณ (พระเจ้าอลองพญา) ที่มันบังอาจออกมาบอกให้ "สละราชสมบัติ" !!!,... เพราะอะไรครับ ?/.... เพราะมันรู้เหมือนที่ผมรู้นั่นละครับว่า "ตราบใดที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช-ยังครองราชย์อยู่",... ตราบนั้นจะไม่มีกษัตริย์ของอดีตผีพม่า - องค์ใดจะขึ้นมามีอำนาจ-ยึดกลืนประเทศไทย-ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมได้เลย !!!,....
--------------------------------------------------
@@@: หลวงปู่สมเด็จพระพนรัต-วัดป่าแก้ว (พระมหาเถรคันฉ่อง) ,... หลังจากที่ทหารออกมาปฏิวัติ-รัฐประหารแล้ว ,... ท่านจึงออกธุดงค์อำลากลับคืนสู่แผ่นดินสยาม (ประเทศในเมืองลับแล-ที่ซ้อนภพอยู่กับประเทศไทย) ไปตามทางของท่าน > และยังไม่เคยกลับมาในนิมิตผมอีกเลย !!!,...
*** เพราะว่าท่านไว้ใจท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (พระชัยบุรีของท่าน) และท่านเคยบอกผมว่า แกนนำอย่างนายแท่น (สนธิลิ้ม) กำนันขุนสรรค์ (กำนันสุเทพ) ท่านทั้งสองได้ทำดีที่สุดแล้วในชาตินี้ !!!,... ช่วงชีวิตที่เหลือต่อไปให้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น (แม้จะปฏิบัติในคุกก็ตาม หรือในเพศบรรพชิตก็ตาม) - จึงจะรักษาชีวิตไว้อย่างสงบสุขในบั้นปลายไดั !!!,... เพราะตามดวงชะตาแล้ว ทั้งสองท่านนี้ต้องตาย-ตามอดีตชาติไปนานแล้ว แต่บังเอิญยุคนี้ยังอยู่ในแผ่นดินของสมเด็จพระองค์ดำ - ดังนั้นบุญที่ทำไว้มากมายกู้ชาติบ้านเมือง และมีความจงรักภักดี - บารมีของพระองค์ท่านจึงปกปักรักษา คุ้มครองทั้งสองท่านไว้ !!!,...
------------------------------------------------
@@@: เมื่อแฟนคลับ ที่ติดตามอ่านเพจผมกันมาแต่ต้น และคิดถึงหลวงปู่ฯ กันมากๆว่า ท่านหายไปไหน ?/.... ทำไมทหารที่ออกมาทำการรัฐประหารแล้วจึงยังไม่ได้ดังใจ !!!,... วันนี้จึงขออนุญาตย้อนอตีดบทความไป ให้เข้าใจตามนี้นะครับ !!!,.... หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา "พระชัยบุรี" คือหนึ่งในอดีตศิษย์ก้นกุฏิของท่าน,... ที่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยิ่งชีพ !!!,...
***โปรดฟังอีกครั้ง !!!,... "จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยิ่งชีพ"!!!,... แต่ที่มันวุ่นๆ ไม่ได้ดังใจไปทั้งหมดทุกวันนี้ ,... เพราะมันเป็นยุคซ้อนยุค เหลื่อมล้ำปนๆกันอยู่ และยังมีอดีตคนขายชาติบางกลุ่ม - ที่เคยเปิดประตูเมือง ให้พม่าเข้ามาเผากรุงศรีฯ ปนๆอยู่ใน สนช. ชุดนี้ด้วย !!!,... เมื่อหลวงปู่ท่านไว้ใจพระชัยบุรี มากมายขนาดนี้แล้ว ,... เราท่านทั้งหลายก็อย่าไปกังวลอะไรมากมายนัก จะติจะชมอย่างไร > ก็ขอให้รักษาน้ำใจท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไว้บ้าง???/...
*** ปัญหาส่วนตัวท่านมีอยู่นิ๊ดส์ส์ส์ เดียวเท่านั้นคือ "ขี้น้อยใจง่าย" ประเภทหนุ่มไทยผู้รักแท้ แต่แพ้ภรรยาทั้งหลายนั่นเอง
 Sermsuk Kasitipradit



ประวัติ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย, ผู้บัญชาการทหารบก
1. ประวัติการศึกษา
- เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2497 ที่จังหวัดนครราชสีมา มีชื่อเล่นว่า ตู่ นิยมเรียกว่า "บิ๊กตู่" เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมดสี่คน และเป็นพี่ชายของ พลโท ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3
- มีอุปนิสัยที่เงียบขรึม ด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโตจึงต้องทำตัวเป็นพี่ที่ดี ในวัยเยาว์เขาเป็นคนเรียนเก่งมีความถนัดและความชอบในวิชาคณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ จากการสนับสนุนของบิดามารดา
- สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนสหะกิจวิทยา จังหวัดลพบุรี ต่อมาได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ในจังหวัดเดียวกัน แต่เรียนได้เพียงปีเดียวก็ลาออก เนื่องด้วยบิดาเป็นนายทหาร จำต้องโยกย้ายไปในหลายจังหวัด
- จึงเข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ กรุงเทพมหานคร จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- จบโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 และ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23
2. ชีวิตครอบครัว
- สมรสกับ ร.ศ.นราพร จันทร์โอชา อดีตอาจารย์ประจำสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- มีบุตรสาวฝาแฝดสองคนคือ น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา
3. ประวัติรับราชการ
- เริ่มต้นรับราชการที่หน่วย "ทหารเสือราชินี" (กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ ร.21 รอ.) ตั้งแต่เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.21 พัน.2 รอ.)
- เป็นเสนาธิการกรมฯ รองผู้บังคับกรม และขึ้นเป็นผู้บังคับการกรมฯ ตามลำดับ
- ต่อมาย้ายมาเป็น รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ( พล.ร.2 รอ.) และเป็นผู้บัญชาการกองพลฯ ต่อจากนั้นได้รับตำแหน่งเป็น รองแม่ทัพภาคที่ 1
- ในเหตุการณ์รัฐประหาร โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้นมียศเป็น "พลตรี" ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการยึดอำนาจ ด้วยรับคำสั่งตรงจาก พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1
- หลังจากนั้นเมื่อ พล.ท.อนุพงษ์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และเลื่อนชั้นยศเป็น "พลเอก" พลตรีประยุทธ์ก็ได้เลื่อนชั้นยศขึ้นเป็น "พลโท" รับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อีกด้วย
- พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายทหารที่มีความสนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นอย่างมาก ด้วยความเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามาตลอดในกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดยพลเอกประยุทธ์นับถือพลเอก อนุพงษ์ เสมือนพี่ และอาจารย์คนหนึ่งของตน โดย พลเอกประยุทธ์ เป็นนายทหารที่มีบุคลิกที่อ่อนนุ่ม โดยมักติดคำว่า "นะจ๊ะ" ต่อท้ายการพูด จึงได้รับอีกชื่อหนึ่งจากสื่อมวลชนว่า "ตู่นะจ๊ะ"
- พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับตำแหน่งเป็น รองหัวหน้า ผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 ถึง 14 กันยายน พ.ศ. 2551
- ได้รับแต่งตั้งเป็น หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึง 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
- วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก
- เป็นหนึ่งในคณะดำเนินคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2554
- ผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.) ในการประกาศกฏอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
- พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ผอ.รส.) อีกครั้งในการประกาศกฏอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
- หลังจากการหารือของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายทางการเมืองทั้ง 7 ฝ่าย ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงทำการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
- พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้แต่งเพลง "คืนความสุขให้ประเทศไทย" เพื่อสื่อความหมายจากใจที่ต้องการคืนความสุขให้ประชาชน โดยมอบให้วิเชียร ตันติพิมลพันธุ์ นักแต่งเพลงประกอบละครชื่อดัง เป็นผู้เรียบเรียงเนื้อร้องประกอบทำนอง และขับร้องโดยกองดุริยางค์ทหารบก
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
- พ.ศ. 2553 - เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้น มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
- พ.ศ. 2542 เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 3 ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ต.จ.ว.)
- พ.ศ. 2533 เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร (ร.ม.ก.)
- เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 1
- เหรียญราชการชายแดน
- เหรียญจักรมาลา
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- Pingat Jasa Gemilang (Tentera) จากสาธารณรัฐสิงคโปร์
- Bintang Kartika Eka Pakci Utama จากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
- The Legion of Merit (Degree of Commander) จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ชายผู้ไม่ค่อยยิ้ม เมื่อก่อนมีพุง หน้ากลม (เดี๋ยวนี้ยุบแล้ว) ใจดี แต่โหด..จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของราชอาณาจักรไทย ตามครรลองกฎหมาย ตามที่ เสธ เคยบอกไว้ล่วงหน้าเมื่อกว่า 4 เดือนที่แล้ว..ใครที่ตามเพจ แฉ ความลับ ตลอดมาก็จะรู้ว่าตรงเป๊ะ
เป็นครรลองตามประชาธิปไตยแบบไทย อนุรักษ์นิยมแบบตะวันออก ที่จะนำธงชาติไทยให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร คู่กับสถาบันสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป
@ เสธ น้ำเงิน2
https://www.facebook.com/thailandcoup

 Paisal Puechmongkol
By Paisal Puechmongkol
การชี้นำของระบอบทักษินตอนนี้คือ สงบ และติดตามสถานการณ์ให้ใกล้ชิด
รอให้ประชาชนผู้รักชาติปะทะกับ คสช. แล้วจึงฉวยโอกาสซ้ำเติม แผ่นดินกำลังก่อตัวเป็นสามก๊ก ดังที่คาดหมายไว้!!!นั่นเพราะ

1. คสช. ไม่ได้จัดการแก้ไขต้นตอปัญหาที่เกิดความขัดแย้งในประเทศ เหตุยังอยู่ ผลย่อมยังอยู่ด้วย
2. คสช. ไม่เห็นว่าการโกงชาติ การตั้งรัฐไทยไหม่ ต้องจัดการด้วยอำนาจรัฐ ปล่อยให้กลไกปกติที่สิ้นสภาพจัดการ
3. คสช. เห็นว่าประชาชนที่ต่อสู้เพื่อชาติศาสน์กษัตริย์ตลอด10ปีที่ผ่านมาเป็นพวกมีปัญหาเหมือนพวกเผาเมือง ฆ่าคน ดังนั้นจึงตั้งตนเป็นผู้ถืออำนาจ เป็นก๊กหนึ่ง ระบอบทักษินก็เป็นก๊กหนึ่งอยู่แล้ว ประชาชนผู้รักชาติศาสน์กษัตริย์ก็ยังต่อต้านการโกงบ้านกินเมือง พิทักษ์สถาบันต่อไป จึงเป็นก๊กหนึ่ง  ความคิดที่ก่อให้เกิดสภาพสามก๊กนี้ถูกหรือความคิดที่ผมเสนอให้ คสช. สามัคคีกับฝ่ายถูกแก้ไขฝ่ายผิดแล้วฟื้นฟูชาติถูก ไม่นานคงเห็นชัดยิ่งกว่านี้  รบกวนฝ่ายเสธ.ของ คสช. ช่วยพิมพ์แล้วนำเสนอหน่อยนะครับ อย่าให้ความเสี่ยงเพิ่มมากกว่านี้เลย

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สังขารไม่เที่ยง ภาพวาดเด็กยันแก่/The Chant of metta ( Lyrics: Pali & Eng)


The Chant of metta ( Lyrics: Pali & Eng)

หยุด! ปตท. ฉ้อฉล

ปาใหญ่

theenergywalkthailand.wordpress.com

“รสนา” เตือน คสช. อย่าตกหลุมพราง

“รสนา” ชี้แยกท่อก๊าซเป็นการขายสมบัติชาติหนักกว่าการแปรรูป ปตท.ยุค “ทักษิณ” เพราะรัฐจะกลายเป็นฝ่ายถือหุ้นข้างน้อย 25% เชื่อท่อก๊าซตกเป็นของเอกชนแล้ว รัฐไม่มีทางซื้อคืนได้ เตือน คสช. อย่าตกหลุมพราง ควรเปิดรับฟังความเห็นประชาชน ไม่เช่นนั้นการรัฐประหารครั้งนี้จะไปต่อยอดให้กลุ่มทุนฮุบสมบัติชาติบรรลุเป้าหมายที่วางไว้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อให้เกิดความขัดแย้งหนัก

วันนี้ (21 ส.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 22.40 น. น.ส. รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “รสนา โตสิตระกูล” ระบุว่า “การขายสมบัติชาติ คือการขยายความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย”

ขอบคุณเพจ “ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง” ที่นำข้อมูลชุดใหม่เกี่ยวกับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” มาเปิดเผยเพิ่มเติมเมื่อวานนี้ ท่านที่สนใจสามารถไปดูใน

เพจ “ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง” จากข้อมูลของเพจ “ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง” น่าสนใจข้อมูลที่ว่า การแปรรูป ปตท. ครั้งที่1 เปิดขายหุ้น ปตท.เพียง 31% (ด้วยเม็ดเงินเพียง 23,199 ล้านบาท) สามารถทำกำไรให้กลุ่มทุนเหล่านี้ถึงกว่า 140,000 ล้านบาท ในเวลาเพียง 2 ปี คิดเป็นกำไรมากกว่า 500% จะมีกิจการอะไรทำกำไรง่ายและมากเท่านี้ นอกจากกิจการขายสมบัติชาติกระมัง!?! เพราะคนขายสมบัติชาติไม่ต้องลงทุน แค่มีอำนาจรัฐก็พอ แต่ผู้ลงทุนคือประชาชนทั้งประเทศ

ดิฉันนึกถึงคำพูดของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ให้สัมภาษณ์นิตยสารประชาชาติ เมื่อปี 2517 ในช่วงที่เพิ่งมี พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ๆ ท่านตั้งคำถามว่า “คนจะเอาสินค้ามาขาย ก็ต้องชั่งดูประโยชน์ที่จะได้ เช่น ถ้าบริษัท ก. ค้าขายกะปิมา 20 ปี แล้วได้กำไรทุกปี เจ้าของบริษัทร่ำรวย แล้วเรื่องอะไรเขาจะขายหุ้นของบริษัทเพื่อเอาประโยชน์ไปแบ่งกับชาวบ้าน”

สอดคล้องกับคำกล่าวของโจเซฟ สติกลิสต์ นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2544 ปีเดียวกับที่แปรรูป ปตท. เข้าขายในตลาดหลักทรัพย์ โจเซฟ สติกลิสต์ กล่าวว่า “การแปรรูปคือการคอร์รัปชัน Privatization is Bribarization” เพราะ “พวกตนไม่จำต้องฉกฉวยเอากำไรจากรัฐวิสาหกิจเป็นรายปีอีกต่อไป เพียงแต่บอกขายรัฐวิสาหกิจให้ต่ำกว่าราคาตลาดเสีย พวกตนก็สามารถฉวยเอามูลค่าสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจก้อนโตเข้าตัว แทนที่จะทิ้งมันไว้ให้ผู้มาดำรงตำแหน่งคนต่อๆ ไปมาถลุง...”

การแปรรูป ปตท. ครั้งที่ 1 ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งเคยกล่าวว่าจะขายหุ้นให้เอกชนเพียง 25% แต่ในที่สุดก็มีการขายหุ้นให้เอกชนครอบครองถึง 48-49% ซึ่งเม็ดเงินที่เอกชนจ่ายเพื่อครอบครองหุ้นเกือบครึ่งหนึ่งของ ปตท. มีมูลค่ารวมกันเพียง 28,277ล้านบาทเท่านั้น ต้องถามว่ารัฐวิสาหกิจอย่าง ปตท. ขาดแคลนเม็ดเงินเท่านี้หรือ?

โรดแม็ปการแปรรูปขายสมบัติชาติครั้งที่ 2 จะหนักกว่ายุครัฐบาลทักษิณ เพราะเป็นการกลับข้างกัน คราวนี้จะให้รัฐเป็นฝ่ายถือหุ้นข้างน้อย 25% ในโครงข่ายพื้นฐานที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และให้เอกชนเป็นเจ้าของโครงข่ายที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถึง 75% แล้วถูกหลอกว่าวันหนึ่งจะซื้อคืนเพื่อครอบครองท่อก๊าซทั้ง 100% คงไม่ต่างจากชาวนาถูกโกงที่นาไปแล้ว จะมีปัญญาไปซื้อที่นาคืนไหม?

เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมต้องรีบทำในช่วงที่บ้านเมืองปลอดจากการมี “รัฐธรรมนูญถาวร” หรือก่อนการเลือกตั้งปี 2558 อุปมาเหมือนประตูเหล็กของบ้านหายไปนี่เอง ทำให้ขนทรัพย์สินทำได้สะดวกเพราะไม่มีประตูเหล็กเป็นเครื่องป้องกันกีดขวาง โจรกระมัง ?

นี่เป็นการต่อยอดให้กับรัฐบาลทักษิณในยุคยิ่งลักษณ์ ใช่หรือไม่? ที่มีการโยนหินถามทางตั้งแต่เมื่อปี 2554 ว่าอยากให้ ปตท.เป็นเอกชน โดยให้รัฐขายหุ้น ปตท.สัก 2% จากหุ้น 51% เหลือ 48% ปตท.ก็จะสิ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตามระบบงบประมาณ ก็จะไม่ต้องถูกตรวจสอบงบดุลโดย สตง.ไม่ต้องถูกหน่วยงานรัฐ องค์กรอิสระ และประชาชนมาตรวจสอบอีก

แต่ที่ทำไม่ได้เพราะติดอยู่ที่รัฐธรรมนูญปี 2550 นี่เองมาตรา 84 (11) บัญญัติว่า “การดำเนินการใดที่เป็นเหตุให้โครงสร้างหรือโครงข่ายพื้นฐานของกิจการ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน หรือเพื่อความมั่นคงของรัฐตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน หรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 51 จะกระทำมิได้”

ที่จริงมาตรานี้ไม่เคยปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2540 แสดงว่าก่อนปี 2550 โครงข่ายของกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน จะยกให้เอกชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ได้เลย การรัฐประหารปี 2549 มีกลุ่มทุนที่ไปนั่งอยู่ในสภานิติบัญญัติ จึงมีการสอดใส้มาตราแปรรูปสมบัติชาตินี้เข้ามาในรัฐธรรมนูญปี 2550

การรัฐประหารปี 2549 ช่วยให้โรดแม็ปกลุ่มทุนเข้ายึด ปตท.ได้ครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาทั้งที่แปรรูปผิดกฎหมาย ศาลฯ จึงมีคำสั่งให้แบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ถูกฮุบเอาไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคืนให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐ

กรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท. ควรมีการศึกษาในทางวิชาการว่า ผู้ที่ถูกประชาชนฟ้องคดีทั้ง 4 ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี  นายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีพลังงาน และ บมจ.ปตท. ว่าแปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ควรหรือไม่ที่จำเลยแผ่นดินเหล่านี้จะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการแบ่งแยก และคืนทรัพย์สินของแผ่นดินอีก ในเมื่อเป็นผู้ถูกฟ้องในฐานกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ควรเป็นคนกลางที่ไม่ใช่ผู้ถูกฟ้องคดีมาทำหน้าที่ เพราะหากคนเหล่านี้ต้องการปกป้องสมบัติของแผ่นดิน ก็ไม่ต้องรอให้ประชาชนมาฟ้องคดีด้วยซ้ำ เมื่อได้รับมอบหน้าที่ตามมติ ครม. คนเหล่านี้ก็ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. ซึ่ง 

สตง. เป็นหน่วยงานที่ไม่ถูกฟ้องคดี การเป็นผู้ตรวจสอบรับรองทรัพย์ที่ต้องคืนจึงแตกต่างจากกลุ่มคนที่ถูกฟ้องคดี การที่กัน สตง. ออกจากกระบวนการในการแบ่งแยก และคืนทรัพย์สินจึงเป็นข้อน่าสงสัย

กลุ่มทุนที่ต้องการเอาสมบัติชาติเป็นของเอกชน กำลังจะใช้การรัฐประหารครั้งนี้สานต่อภารกิจฮุบสมบัติชาติทั้ง 100% กลุ่มทุนการเมืองที่ถูกขนานนามว่าทุนสามานย์ เมื่อปล้นบ้านเมืองแล้วใช้วิธีออกกฎหมายนิรโทษกรรม ส่วนกลุ่มทุนขายสมบัติชาติ จะใช้วิธีออกกฎหมายแล้วจึงฮุบ แบบนี้ใช่หรือไม่?

การขายสมบัติชาติให้เอกชนครั้งที่ 1 เพียง 31% ด้วยเม็ดเงินแค่ 23,199 ล้านบาท ก็ทำกำไรให้กลุ่มทุนการเมืองในครั้งนั้นถึง 140,000 ล้านบาทในเวลาเพียง 2 ปี เอกชนเจ้าของหุ้น 49% ด้วยเงินลงทุนรวมเพียง 28,277 ล้านบาท ได้ส่วนแบ่งเงินปันผลเกือบ 500,000 ล้านบาทในระยะเวลา 12 ปีหลังการแปรรูป และครอบครองส่วนแบ่งทรัพย์สินของชาติอีกกว่า 500,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

โรดแม็ปขายท่อก๊าซสมบัติชาติครั้งที่ 2 นี้ คงจะยิ่งกว่าเอาทรัพย์แผ่นดินมาจัดมิดไนท์เซล หรือซัมเมอร์เซลกันเลยเชียวล่ะ ตลาดหลักทรัพย์จะอู้ฟู่ขนาดไหน กลุ่มทุนขายสมบัติชาติที่เคยตั้งสำรับก่อนปี 2544 แต่ถูกกลุ่มทุนสามานย์ชุบมือเปิบไป 49% เมื่อครั้งที่แล้ว คราวนี้รีบร้อนจะขอแบ่งเปิบสมบัติชาติอีก 51% ที่เหลือ ใช่หรือไม่?

ดิฉันเชื่อมั่นด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) ได้เข้ามาควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินก็เพื่อสร้างความสงบและความสามัคคี ของปวงชนชาวไทย ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้เมื่อรัฐบาลได้บริหารให้มีการแบ่งปันกันตามหลัก สาธารณโภคี (การแบ่งปันทรัพยากร สิ่งมีคุณค่าของสังคมให้ส่วนรวม) กับประชาชนคนส่วนใหญ่ มิใช่ดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุน เหนือรัฐบางกลุ่ม เข้ามาแย่งชิงสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่มีไว้เพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกันของ คนในชาติ เอาไปให้กลุ่มของตนครอบครองเพิ่มขึ้นอีก

การแยกท่อก๊าซเพื่อแปรรูป และขายให้เอกชนในตลาดหลักทรัพย์ มิใช่ภารกิจหลักของการเข้าควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของ “คสช.” มิใช่หรือ?

จึงกราบเรียนท่านมาด้วยความเคารพว่า อย่าได้ตกหลุมพรางของกลุ่มทุนที่มุ่งหมายขายสมบัติชาติ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ควรจะเปิดรับฟังประชาชนที่มีสิทธิ์ มีส่วนเป็นเจ้าของทุกคนก่อนจะดำเนินการใดในเรื่องนี้ เพราะเป็นหนึ่งในความขัดแย้งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นแล้ว จะกลับกลายเป็นว่าการรัฐประหารครั้งนี้เป็นไปเพื่อต่อยอดให้กลุ่มทุนที่หวัง ฮุบสมบัติชาติได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่เคยวางเอาไว้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองยิ่งขึ้นกว่าครั้งที่กลุ่มทุน สามานย์แปรรูป ปตท.ครั้งแรก และก่อความเสียหายต่อบ้านเมือง ทำให้ประชาชนแตกความสามัคคี ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐ ซึ่งนั่นย่อมมิใช่สิ่งที่ คสช.และประชาชนปรารถนาอย่างแน่นอน”

ASTVผู้จัดการออนไลน์
21 สิงหาคม 2557 23:41 น.




 
 
ถึงเวลาที่คนไทย ต้องช่วยกันแล้วครับ รูปและเรื่องราวจำนวนมาก ของเพจทวงคืนพลังงานไทย ทุกวันนี้หายไปจากระบบของเฟซบุ๊คทั้งหมด ที่เคยแชร์กัน หลักหมื่นหลักแสนหายไปหมดแล้ว สู้กับทุนสามานย์ ฉ้อฉล คนไทยต้องช่วยกัน
ย้ำ...มีรูปมีเรื่องราวอะไรที่ผมแชร์มา ขอให้ทุกๆ คน ช่วยกันแชร์อย่างกว้างขวางด้วยครับ




 

"ปชช.คนไทยสิ้นหวัง"...คสช.ปฏิรูปพลังงาน ภายใต้กรอบอำนาจฉ้อฉล ของคน ปตท.

หากคสช. มีเจตนารมณ์ในการจะให้รัฐถือหุ้นในกิจการท่อก๊าซธรรมชาติทั้ง 100%จริง ก็สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอไปทำในอนาคตระยะยาว เพราะวันนี้ท่อก๊าซธรรมชาติยังเป็นของรัฐทั้ง 100%ดังกล่าวแล้ว

ตลอดกว่า10ปีที่ผ่านมา ไม่มีรัฐบาลของนักการเมืองพรรคใดกล้าใช้อำนาจรัฐกระทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน ทั้งตามบทบัญญัติของกฎหมาย และคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดได้เลย มิหนำซ้ำยังสมคบคิดกันยักย้ายถ่ายเทเล่นแร่แปรรูปสมบัติของประชาชนไปเป็นสมบัติเอกชน

หาก คสช. จะฝากเกียรติประวัติของทหารหาญ ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนในการเข้าควบคุมอำนาจการบริหาในครั้งนี้ จะถือเป็นการที่ คสช.ได้ประพฤติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหลัก "ราชสังควัตถุ4" ซึ่งเป็น "ธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจประชาชนของนักปกครอง"อย่างแท้จริง
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000094916



อดีต ส.ว.กทม. ชู"ประยุทธ์"ความหวังสุดท้ายของปชช. เร้าสะสางปมท่อส่งก๊าซที่ปตท.ครอบครองอยู่คืนให้รัฐตามคำสั่งศาล ท้า ก.คลัง-พลังงาน กล้าพูดหรือไม่ว่า "ท่อส่งก๊าซในทะเลไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน" วอนถามปชช.ว่ายอมหรือไม่ ก่อนคิดแปรรูปให้เอกชนเป็นเจ้าของ 100%

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า วันนี้(16ส.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 02.30น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล ภายใต้หัวข้อ "ท่อส่งก๊าซในทะเลต้องเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่สมบัติผลัดกันกินของธุรกิจเอกชน" โดยกล่าวถึงข้อความในหนังสือที่เครือข่ายภาคประชาชนจับตาการปฏิรูปพลังงาน ไทย ไปยื่นถึงประธาน คสช. ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ( กพช.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก ว่า ในหนังสือที่ไปยื่นมีใจความดังนี้

"ขอให้ประธานคสช. ชะลอการมีมติกพช.เรื่องแยกท่อก๊าซไปตั้งบริษัทใหม่ออกไปก่อน จนกว่าจะสะสางข้อเท็จจริงตามกฎหมาย ว่าใครเป็น "เจ้าของ"ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ระบุว่า"ทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชน" ที่ปตท.ครอบครองอยู่ก่อนที่ศาลตัดสินและมีคำสั่งให้คืนกลับมาให้กับรัฐมี อะไรบ้าง?

รวมทั้งกรณีท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเลที่ปตท.ยังคืนไม่ครบถ้วนตามการตรวจสอบ ของสตง.ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องในการคืนทรัพย์สินตาม มติ ครม.สมัยรัฐบาลพล.อ สุรยุทธ์ จุลานนท์เมื่อ 18 ธันวาคม 2550

ประธานคสช.โปรดใช้อำนาจตรวจสอบกรณีนี้ เพราะนักการเมืองในทุกยุคที่มีกลุ่มทุนหนุนหลัง ไม่มีใครกล้าสะสาง เหลือแต่เพียงคสช.ที่ประชาชนคาดหวังให้มาเป็นผู้สะสางกรณีนี้เพื่อรักษาผล ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

สิ่งที่เครือข่ายประชาชนได้ทักท้วงการแยกระบบท่อส่งก๊าซมาตั้งเป็นบริษัท ใหม่และให้บมจ.ปตท.เป็นเจ้าของนั้น เพราะระบบท่อส่งก๊าซเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งตามกฎหมายจะไม่สามารถนำมาซื้อขาย และไม่สามารถยกให้เอกชนเป็นเจ้าของได้

การแยกระบบท่อก๊าซมาตั้งเป็นบริษัทจะทำให้ สาธารณสมบัติที่รัฐเป็นเจ้าของทั้ง 100% จะถูกลดสัดส่วนลงตามการถือหุ้นของรัฐในปตท.ที่มีอยู่51% เป็นการเปิดช่องให้เอกชนอีก49%เข้ามาฮุบสมบัติชาติ

ตั้งแต่ปี2550 เป็นต้นมา หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการแบ่งแยกและนำทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชนที่ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ปตท.ครอบครองอยู่คืนให้รัฐตามคำสั่งศาล แต่หน่วยงานเหล่านั้นกลับเพิกเฉย ปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ การปล่อยให้บมจ.ปตท.ครอบครองท่อส่งก๊าซในทะเลไว้เพราะเหตุใด?

ดิฉันขอให้หน่วยงานเหล่านั้น ช่วยตอบคำถามดิฉันด้วยว่า "ท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเลเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่?" การวางท่อส่งก๊าซในทะเลต้องใช้อำนาจของรัฐหรือไม่? หรือเอกชนรายไหนก็วางท่อก๊าซได้โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจรัฐ?กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกฤษฎีกากล้าออกมาแถลงต่อสาธารณชนหรือไม่ว่า "ท่อส่งก๊าซในทะเลไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน"

ก่อนที่จะแปรรูปปตท.รอบ2 ให้เป็นเอกชน100% โปรดถามประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศเสียก่อนว่ายอมหรือไม่?

โรดแม็ปการปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนคือการแปรรูปปตท.ให้เสร็จสมบูรณ์ ต่อจากการแปรรูปปตท.ครั้งที่1 เป็นการฟื้นคืนชีพของ"กลุ่มทุนที่นิยมแปรรูปสมบัติชาติ" ชุดเดิม ที่เคยตั้งสำรับผลประโยชน์การแปรรูปปตท.ไว้ แต่ถูกทักษิณเข้ามาชุบมือเปิบไปเมื่อปี 2544 มาถึงวันนี้ได้โอกาสฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งหลังรัฐประหาร ที่เป็นช่วงเว้นวรรคของพรรคทักษิณ เลยรีบร้อนจะตั้งสำรับผลประโยชน์ในการแปรรูปปตท.รอบ2 ให้ได้ก่อนเลือกตั้งปี 2558 จะได้ไม่ถูกนักการเมืองจากการเลือกตั้งในอนาคต มาชุบมือเปิบอีกรอบ ใช่หรือไม่?

การปฏิรูปพลังงานของคนเหล่านี้ มีความหมายแค่การแปรรูปสาธารณูปโภคพื้นฐานให้เป็นของเอกชน100%แค่นั้นหรือ?

หรือคือการโอนอำนาจรัฐที่เคยดูแลราคาพลังงานที่เป็นธรรมแก่ประชาชนไปสู่สิ่ง ที่เรียกว่ากลไกตลาดเสรี( ภายใต้กลุ่มทุนผูกขาดพลังงาน)เท่านั้นหรือ?

การแปรรูปสมบัติชาติเป็นไปเพื่อความยั่งยืนทางธุรกิจของกลุ่มทุน หรือเพื่อความยั่งยืนของประชาชนกันแน่? ทั้งที่ก่อนหน้าการแปรรูปปตท. รัฐวิสาหกิจนี้ได้กำไรมาโดยตลอด มีเงินส่งเข้ารัฐและประชาชนก็ได้ราคาพลังงานที่เป็นธรรม เหมือนในมาเลเซีย

การลักไก่แปรรูปครั้งที่1 ก็ทำให้ประชาชนขมขื่นจากราคาน้ำมันแพง แล้วทำไมประชาชนจะต้องยอมรับกับการถูกมัดมือชกในการแปรรูปครั้งที่2 ด้วยข้ออ้างอันสวยหรูว่า "กลุ่มทุนมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐ" ทั้งที่ใครๆก็รู้ว่าประสิทธิภาพของบรรษัทพลังงานเอกชนนั้นก็คือ การแสวงหากำไรสูงสุด บนค่าใช้จ่ายสูงสุดของประชาชนนั่นเอง"

@manager online


 

ปตท.ชอบอ้างว่า ที่คนไทยต้องใช้น้ำมันในราคาแพง เพราะ ปตท.ต้องขายในราคาตลาดโลก ทั้งๆ ที่ “เจ้าพ่อราคาตลาดโลก” อย่างอเมริกา ซึ่งซื้อน้ำมันจากไทยและต้องขนส่งไปยังประเทศของตนที่อยู่อีกซีกโลก ทำไมอเมริกาจึงขายน้ำมันในราคาลิตรละ 30 บาทได้? ทำไม ปตท.จึงขายน้ำมันให้คนไทยลิตรละเกือบ 50 บาทล่ะ?


โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย 19 สิงหาคม 2557
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9570000094630







 * ต้องการด่วน นายประกันอาสา *
ทนายอาสาได้แล้วครับ ถ้าศาลรับฟ้อง และไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว ผมต้องเข้าเรือนจำ วงเงินประกัน คดีหมิ่นประมาท กับ พรบ.คอมพิวเตอร์ วงเงินประมาณ 2 แสน ครับ เป็นหลักทรัพย์ ก็ต้องมากกว่า หรือเป็นข้าราชการ ก็เป็นนายประกันได้นะครับ แต่ต้องไปในวันที่ขึ้นศาลด้วย พร้อมเอกสารยืนยัน กองทุนสู้คดีที่เคยคิดว่าจะตั้ง แต่ก็ไม่ทันได้ทำครับ เพจหลักถูกแบนไปซะก่อน เครื่องพิมพ์ที่มีพังไปหมดแล้วจะซื้อใหม่ก็ไม่มีตังส์ จะพิมพ์เอกสารหลักฐานต้องไปจ้างข้างนอก หรือใครยินดีจะสนับสนุนทุนช่วยเหลือ ก็ส่งมาไม่ต้องรอครับ บัญชีออมทรัพย์ ธ.กรุงเทพ 443 0907 362 ศรัลย์ มือถือ 08-9411-2901 คำฟ้องตรงนี้ครับ http://thaiforgetit.blogspot.com/2014/08/blog-post.ht




คณะ ขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน ถูกทหารจับแล้ว โดย ณาตยา แวววีรคุปต์ ผู้สื่อข่าว ThaiPBS ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กแสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้ว่า...
5 เหตุผลที่ทหารไม่ควรจับพวกขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน คือ

1. คนพวกนี้เป็นประชาชนที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง มิได้เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และมารวมตัวกันด้วยความบริสุทธิ์ใจในการปฏิรูประบบพลังงานที่เป็นธรรม
2. คสช.ควรพิสูจน์ความจริงใจในรัฐธรรมนูญ(ชั่วคราว) 2557 มาตรา 4 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
3. คสช.ไม่ควรปิดประตูตัวเองจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้วยการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนผู้ต้องการเสนอความคิด เห็นแตกต่าง และชักชวนสังคมร่วมสนทนาเพื่อการปฏิรูปประเทศ
4. คนที่จะถูกจับ ควรจะได้มีโอกาสใช้จิตวิญญาณของพวกเขาทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป เหมือนกับที่ได้เคยทำมา เช่น หมอ ควรได้ทำหน้าที่รักษาคนป่วยในพื้นที่เสี่ยงภัยที่ชายแดน ชาวบ้านควรได้แสดงออกอย่างเสรีไม่ให้สังคมสิ้นหวังกับอำนาจที่ถูกลิดรอน
5. เพื่อไม่ให้คนในสังคมรู้สึกว่า ถูกกดหัว จนต้องยอมแกล้งตายกันทั่วบ้านทั่วเมือง



ผลประโยชน์ปิโตรเลียม มันมหาศาลครับ บ.น้ำมันใหญ่สุดติดอันดับโลกมีตั้ง 3 ใน 10 อันดับแรก ทำไมจึงแย่งจ้องจ่อฉ้อฉลกัน จนทำให้คนไทยเดือดร้อน ทั้งประเทศ!!!
เชื่อกันหรือครับ ปิยสวัสดิ์กับเมีย มีทรัพย์สินไม่ถึง 500 ล้าน รวยน้อยกว่าสรยุทธ ช่อง 3 รายงานบัญชีทรัพย์มาตั้งแต่ ปี 2550 - 2555 หลังขายสัมปทานเงินเพิ่มมาแค่ 20 ล้าน


 Paisal Puechmongkol

กรณีเรื่องท่อแก๊ส ผมเสนอดังนี้

1.  ปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองอันเป็นที่สุดแล้วและ ปตท ก็ไม่เคยโต้แย้งและฝ่าฝืนไม่ได้
2.  เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดและยุติปัญหาเรื่องท่อแก๊ส คสช. ควรออกคำสั่งให้ปฏิบัติดังนี้
     a.  แยกธุรกิจท่อแก๊สออกจาก ปตท. และยกเลิกการผูกขาดท่อแก๊สของ ปตท. ตามที่สั่งไว้เดิม
     b.  ให้ ปตท. คืนท่อแก๊สตามคำพิพากษาของศาลแก่กระทรวงการคลังให้เสร็จภายใน 30 วัน และให้ตั้งองค์การมหาชนบริหารจัดการท่อแก๊ส โดยมีคณะผู้บริหารที่สุจริต และไม่อยู่ในอำนาจ ปตท. เพื่อให้รัฐเป็นเจ้าของกิจการท่อแก๊ส
3.  ให้ ปตท. จ่ายค่าใช้ท่อแก๊สในอัตราที่เป็นธรรมนับแต่วันที่ศาลปกครองตัดสินจนถึงวันที่คืนท่อแก๊สแก่กระทรวงการคลัง
ผมกล่าวได้ว่า คสช. จะมีอำนาจอย่างไรก็ไม่สามารถฝืนอำนาจศาลที่ตัดสินเรื่องนี้ได้หรอกครับ ทำความถูกต้องให้ปรากฎเป็นจริงจะเป็นสิริมงคลมากกว่า

Paisal Puechmongkol

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สนธิ ลิ้มทองกุล วีรบุรุษของประชาชน คนดีที่เคารพกฎหมาย แต่ต้องรับกรรม


Photo

 
By ประพันธุ์ คูณมี
ผม ติดตามข่าวคดีของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ด้วยความห่วงใยและปนด้วยความเศร้าสะเทือนใจอย่างยิ่งกับวิถีชีวิตของชายสูงวัยคนหนึ่ง ที่ช่วงปลายของชีวิตได้ทุ่มเทต่อสู้ด้วยความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตทั้งทรัพย์สินเงินทองกระทั่งชีวิตของตนให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ เพื่อการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ระบอบการเมืองแห่งความชั่วร้ายที่กัดกินประเทศชาติ ทำลายชาติบ้านเมือง บ่อนทำลายสถาบันสร้างความแตกแยกแก่สังคมอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการต่อสู้กับการทุจริตคอรัปขั่นของนักการเมือง ผู้มีอำนาจปกครองที่ฉ้อฉลทั้งหลาย ไม่เพียงเท่านั้น สนธิ ยังเป็นผู้จุดประกายชูธงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เสนอให้ ปชป. เสียสละออกมานำการต่อสู้ร่วมกับประชาชน จนนำไปสู่การลุกขึ้นสู้ของมวลมหาประชาชน กปปส.ทำให้กระแสการปฏิรูปกลายเป็นวาระแห่งชาติ แปรเป็นพลังล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในที่สุด การต่อสู้ครั้งนี้ สนธิและ พล.ต.จำลอง ยังจับมือแสดงความมีสปิริตของนักต่อสู้ที่ยึดเอาประโยชน์ชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ประกาศออกมาสนับสนุนการต่อสู้โดยการนำของกำนันสุเทพ โดยยอมลืมความบาดหมางใจในอดีตจนสิ้น อันเป็นจิตใจที่สูงเด่นของนักต่อสู้ ที่ควรแก่การเคารพนับถืออย่างยิ่ง การที่คุณสนธิต้องคำพิพากษาให้จำคุกในคดีอันเกี่ยวกับความผิดต่อ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้ลงโทษจำคุกในศาลชั้นต้น80ปี มาถึงศาลอุทธรณ์ศาลปรับโทษลดลงเป็น 20ปี และอยู่ระหว่างขออนุญาตฎีกา เพื่อให้ได้รับโอกาสยื่นขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา แต่ก็ต้องถูกคุมขังตัวไว้ที่เรือนจำก่อนหลายวันจนกว่าศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หากศาลไม่อนุญาตก็อาจต้องจำคุกยาว เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งสำหรับคนๆ หนึ่งที่เสียสละทั้งชีวิตเพื่อประเทศชาติและประชาชน ที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์และชะตากรรมเช่นนี้ โดยเฉพาะผมเองยิ่งเศร้าใจและสะเทือนใจ เพราะได้ทราบถึงความเป็นมาของคดีนี้ จากที่ได้ติดตามและสอบถามทนายสุวัตรและผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยความห่วงใยมาโดยตลอดจึงพอจะรู้ถึงที่มาที่ไป แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจก้าวล่วงที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆในทางคดีได้ เหมือนน้ำท่วมปาก บอกได้แต่เพียงว่า "ประเทศไทยนี้ดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือ ปล่อยโอกาสให้คนชั่วมีอำนาจและลอยนวลเหนือกฎหมายมากจนเกินไป "คนดีที่ต่อสู้เสียสละให้กับบ้านเมืองต้องยอมเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมาน คนดีที่เคารพกฎหมายต้องยอมรับกรรม หากจะได้รับผลตอบแทนที่ดีใดๆ บ้าง ก็จะมีพวกคนเลวออกมาสร้างกระบวนการต่อต้านขัดขวาง นานเข้าคนที่ต่อสู้เสียสละเพื่อความถูกต้องดีงามถูกยัดเยียดข้อหาว่าเป็น พวกสร้างปัญหาให้บ้านเมือง ก่อแต่ความวุ่นวาย สร้างความขัดแย้ง เป็นพวกชอบทะเลาะกันไปโน่นเลย นี่คือสังคมไทยปัจจุบัน คนมีเงินมีอำนาจคือความถูกต้อง ทำอะไรก็จะมีพวกสอพลอเออออปรบมือเชียร์ ถูกผิดอย่างไรไม่รู้ นิ่งเสียจะได้ตำลึงทอง ดอกผลของความเสียสละจากผู้อื่นหรือประชาชนทั้งหลาย เอาไว้มอบประเคนให้พวกอีแอบที่คอยตีกิน ฉกฉวยโอกาส นี่คือกรรมเวรของประเทศไทยที่ไม่เคยไร้คนชั่วพวกฉวยโอกาสเลยทุกยุคสมัย เป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้คนชั่วเสมอ และมักปิดโอกาสคนดีๆ จนสิ้น เช่นนี้แล้วบ้านเมืองของเราจึงไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร ประเทศของเราจะมีอนาคตอย่างไร แม้ขณะนี้เขาจะชูธงบอกว่าเรากำลังก้าวสู่ยุคแห่งการปฏิรูปประเทศทุกด้านก็ตาม ยังเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลายต้องติดตามและจับตามองอย่างไม่กระพริบตา เพราะการปฏิรูปอาจเป็นเพียงม่านบังตาอำพรางอำนาจการเมืองใหม่ที่อาจไม่ใช่เพื่อประชาชนก็ได้ เราจึงไม่อาจวางใจใครได้เลย จนกว่าเราจะได้เห็นการปฏิบัติที่เป็นจริง เพราะร้อยคำพูดหรือจะสู้หนึ่งการกระทำจริง เรื่องของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ใครจะมองอย่างไรก็ตาม สำหรับผมสนธิ ลิ้มทองกุล เขาคือวีรบุรุษของประชาชน ที่ผ่านการทดสอบเหนือกว่าการทดสอบใดๆ คือคนที่ได้พิสูจน์ตนเองจากการกระทำและการปฏิบัติที่เป็นจริง โดยไม่ต้องอธิบายใดๆอีกเพราะ เขาคือวีรชนของประชาชน ที่ยังมีลมหายใจ
 Photo: "นิพิฏฐ์” ให้กำลังใจ “สนธิ” ชี้สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองยิ่งใหญ่กว่า-จุดประกายปฏิรูปประเทศ

อดีต ส.ส.พัทลุง โพสต์ข้อความให้กำลังใจ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ระบุเป็นเรื่องส่วนตัว แต่สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองยิ่งใหญ่มาก การทำไม่ถูกบางเรื่องไม่ได้ทำให้ความศรัทธาลดน้อยลง พร้อมขอให้เข้มแข็ง ถ้าใครไม่นึกถึงก็ช่าง สังคมเป็นอย่างนี้              

วันนี้ (10 ส.ค.) เมื่อเวลา 15.55 น. เฟซบุ๊ก “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความให้กำลังใจนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า ตนไม่รู้จักนายสนธิเป็นการส่วนตัว แต่ตนแยกถูกกับไม่ถูกในทางกฎหมายออกจากกันได้ การทำไม่ถูกในทางกฎหมายในบางเรื่องก็ไม่ได้ทำให้ความศรัทธาที่ตนมีต่อใครบางคนลดน้อยถอยลง              

“เรื่องของคุณสนธิ เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่สิ่งที่คุณสนธิเคยทำให้กับบ้านเมืองยิ่งใหญ่มาก ใจผมใหญ่ไม่เท่าใจของคุณสนธิ ประเทศเริ่มเดินหน้าปฏิรูปได้ อย่ามีใครอวดอ้างเอาความดีไปตีกิน ผมยกให้คุณสนธิ เป็นที่ 1 ถึงวันนี้ ผมขอให้คุณสนธิเข้มแข็ง มองดูผลผลิตของการปฏิรูปที่ท่านได้ปลูก และรดน้ำพรวนดินไว้ ส่วนใครจะมีความสุขที่ได้ดื่มกินผลของมัน แล้วไม่นึกถึงท่านก็ช่างมัน สังคมมันเป็นอย่างนี้แหละ คุณสนธิรู้สัจธรรมนี้ดีกว่าผม ผมคนหนึ่งล่ะเป็นหนี้ทางใจคุณสนธิในการจุดประกายการปฏิรูปประเทศ” นายนิพิฏฐ์กล่าว       

manager.co.th
 "นิพิฏฐ์” ให้กำลังใจ “สนธิ” ชี้สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองยิ่งใหญ่กว่า-จุดประกายปฏิรูปประเทศ

อดีต ส.ส.พัทลุง โพสต์ข้อความให้กำลังใจ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ระบุเป็นเรื่องส่วนตัว แต่สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองยิ่งใหญ่มาก การทำไม่ถูกบางเรื่องไม่ได้ทำให้ความศรัทธาลดน้อยลง พร้อมขอให้เข้มแข็ง ถ้าใครไม่นึกถึงก็ช่าง สังคมเป็นอย่างนี้

วันนี้ (10 ส.ค.) เมื่อเวลา 15.55 น. เฟซบุ๊ก “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความให้กำลังใจนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า ตนไม่รู้จักนายสนธิเป็นการส่วนตัว แต่ตนแยกถูกกับไม่ถูกในทางกฎหมายออกจากกันได้ การทำไม่ถูกในทางกฎหมายในบางเรื่องก็ไม่ได้ทำให้ความศรัทธาที่ตนมีต่อใครบาง คนลดน้อยถอยลง 

sonntte7-8-14 
ย้อนรอยเบื้องหลังคดี "สนธิ ลิ้มฯ” ก่อนศาลอุทธรณ์ยืนโทษจำคุก 20 ปี 

 "..คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เห็นว่าที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าไม่มีเจตนาทุจริต และไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลย เป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ ร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นถือว่าเป็นโทษต่ำสุดแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน.."

พลันที่ ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษา ยืนโทษจำคุก 20 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตผู้บริหารกลุ่มแมเนอร์เจอร์ มีเดีย ในคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับ นายสุรเดช มุขยางกูร ,นางสาวเสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ และ นางสาวยุพิน จันทนาอดีตผู้บริหาร และ กรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.57 ที่ผ่านมา สปอร์ตไลท์ทุกดวงในสังคมไทย ต้องหันกลับมาให้ความสนใจในตัวของ "เจ้าพ่อสื่อ" ผู้นี้ทันที
เพราะต้องยอมรับกันว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บทบาทและท่าทีของนายสนธิ ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ในฐานะแกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน
ขณะที่นายสนธิ ก็เคยประกาศลั่นกลางศึกครั้งนั้น ว่าจะสู้ไม่ถอย ชนิด "เจ๊งเป็นเจ๊ง"
มาวันนี้ชะตากรรมของ นายสนธิ กำลังเข้าขั้นวิกฤตเต็มรูปแบบ!
หากจะย้อยกลับไปถึงสาเหตุสำคัญเกี่ยวกับ คดีนี้ มีจุดเริ่มต้นจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เผยแพร่ข่าว เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี และปรับ นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) (“IEC”) จำนวน 1,178.25 ล้าน บาท
กรณีลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมคณะ กรรมการบริษัทเพื่อลวงให้ IEC หรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะ ที่เป็นทรัพย์สินของ IEC และกระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเอง
ถ้าอ่านผ่านๆ ก็เหมือนคดีทั่วไปที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์ฯกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ทำให้บริษัทเสียหายซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ
แต่ถ้าใครที่ติดตามคดีนี้มาตลอด10 ปีจะรู้ว่า คดีนี้โยงถึง(อดีต?)เจ้าพ่อในวงการสื่อสารมวลชนคือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือเอเอสทีวีผู้จัดการและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย(พธม.)ด้วย
ทั้งนี้ พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสุรเดช มุขยางกูร(จำแลยคดี IEC) น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ และ น.ส.ยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป (ถูกพิพากษาล้มละลายเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2553 คดีหมายเลขแดงที่ ลฟ. 5/2541 )เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากนายสนธิ กับพวกซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทแมเนเจอร์ ฯ( MGR) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2539-30 เมษายน 2540 เพื่อ ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน จำนวน 1,078 ล้านบาทให้แก่บริษัทเดอะ เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ MGR โดยที่คณะกรรมการ MGR ไม่ ได้รับทราบ
ต่อมา เดอะ เอ็ม. กรุ๊ป ได้ผิดนัดชำระเงินกู้ส่งผลให้ MGR ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับภาระเป็นผู้ชำระหนี้ ให้กับธนาคารกรุงไทยฯ เป็นจำนวนเงิน 259 ล้านบาท
การกระทำดังกล่าวของบุคคลทั้ง 4 ราย เป็นการกระทำทุจริตโดยใช้ อำนาจที่ตนได้รับมอบหมาย แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อผู้อื่น อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและผลประโยชน์ของ MGR โดยตรง
คดีดังกล่าวเริ่มจากบริษัท IEC ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท เดอะ เอ็มกรุ๊ป(มีนายสนธิ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารและเป็นบริษัทแม่ของ IEC) ซึ่งกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย 1,198 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2539 แต่ทาง IEC ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทยทราบซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
อย่างไรก็ตาม นายชัยอนันต์ สมุทรวณิช ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(ในขณะนั้น)และเป็นประธานกรรมการ IEC ในช่วงที่มีการค้ำประกันเงินกู้ออกมาปฏิเสธว่า คณะกรรมการ IEC ไม่เคยอนุมัติให้ค้ำประกันเงินกู้ให้เดอะ เอ็มกรุ๊ป แต่ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของ IEC ปลอมมติคณะกรรมการ
ขณะที่นายสุรเดช อดีตกรรมการผู้อำนวยการ IEC ยอมรับกับสำนักงาน ก.ล.ต.ว่า IEC ค้ำประกันเงินกู้ให้เดอะ เอ็มกรุ๊ปจริง

ต่อมาในเดือนธันวาคม 2542 สำนักงาน ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษนายสุรเดช ต่อพนักงานสอบสวนโดยกล่าวหาว่า ปลอมหรือยินยอมให้มีการปลอมสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัท IEC เพื่อลวงให้ธนาคารกรุงไทยหลงเชื่อว่า คณะกรรมการบริษัท IEC มีมติให้ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ในนามบริษัท IEC เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 312 ระหว่างโทษจำคุก 5-10 ปี และยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานปลอมแผลงเอกสารด้วย
สำนักงาน ก.ล.ต.ตรวจสอบข้อมูลกรณีดังกล่าวเพิ่มเติม จนกลางเดือนตุลาคม 2543 จึงได้กล่าวโทษ นายสนธิ นายสุรเดช นางสาวเสาวลักษณ์ และนางสาวยุพิน อดีต กรรมการบริษัท MGR ร่วมกันปลอมเอกสารในการทำสัญญาร่วมค้ำประกันการกู้จำนวน 1,073 ล้านบาทให้แก่บริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ปจากธนาคารกรุงไทยโดยคณะกรรมการบริษัท MGR มิได้รับทราบและมิได้มีการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินของบริษัท MGR
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 307, 311 312 ซึ่งแต่ละกระทง ระวางโทษจำคุก 5-10 ปีและยังมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และ 268
หลังจากนั้นคดีนี้ได้เข้าสู่กระบวนการใน ชั้นศาลอย่างเต็มรูปแบบ ก่อนที่ศาลชั้นต้น จะพิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 1 และ นางสาวเสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ จำเลยที่ 3 คนละ 85 ปี และนางสาวยุพิน จันทนา จำเลยที่ 4 จำคุก 65 ปี ส่วนนายสุรเดช มุขยางกูร จำเลยที่ 2 ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี
แต่จำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกนายสนธิ จำเลยที่ 1 และ นางเสาวลักษณ์ จำเลยที่ 3 คนละ 42 ปี 6 เดือน และนางสาวยุพิน จำเลยที่ 4 จำคุก 32 ปี 6 เดือน ส่วนนายสุรเดช จำเลยที่ 2 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน
แต่โทษสูงสุดในความผิดฐานดัง กล่าว กฎหมายกำหนดให้ลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี จึงลงโทษจำคุก นายสนธิ จำเลยที่ 1 , นางเสาวลักษณ์ จำเลยที่ 3 และ นางสาวยุพิน จำเลยที่ 4 คนละ 20 ปี แต่ต่อมานายสนธิ พร้อมด้วยนางเสาวลักษณ์ และนางสาวยุพิน ยื่นอุทธรณ์
ล่าสุดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เห็นว่าที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าไม่มีเจตนาทุจริต และไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และรอการลงโทษนั้น เห็นว่า
การกระทำของจำเลย เป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ ร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นถือว่าเป็นโทษต่ำสุดแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน
ขณะที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ ให้สัมภาษณต่อสื่อมวลชนว่า จะใช้หลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์เดิม มูลค่า 10 ล้าน เพื่อขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคำร้องของศาลว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่
ส่วนชะตากรรมของนายสนธิ และผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้จะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องไปรอลุ้นในชั้นศาลฏีกา
เป็นคำตอบสุดท้าย!
---------
รายละเอียดคดีจำคุกอดีตผู้บริหาร IEC
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากวันที่ 28 พฤศจิกายน 2542 ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษนายสุรเดช กรณีลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทที่มีข้อความว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของ IEC ได้อนุมัติให้IEC เข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทเดอะ เอ็ม.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงินของบริษัทเดอะ เอ็ม.กรุ๊ปฯ ต่อธนาคารกรุงไทยฯในนามของ IEC อันเป็นกิจการที่เกินขอบเขตที่คณะกรรมการของ IEC ได้กำหนดไว้และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของ IEC ก่อน ทำให้ IEC มีภาระหนี้ค้ำประกันจำนวน 1,178 ล้านบาท อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 307 311 312(2) ประกอบ 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 ศาลอาญาฯพิพากษาว่านายสุรเดช มีความผิดตามมาตรา 307 311 312(2) และ 313 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตาม มาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษ (1) ฐานเป็นกรรมการลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมเพื่อลวงให้นิติบุคคลหรือผู้ ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ตามมาตรา 312(2) แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ให้จำคุก 5 ปี และปรับ 500,000 บาท
และ (2) ฐานเป็นกรรมการกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคล
และ (3) ฐานเป็นกรรมการกระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นตามมาตรา 307 311 ประกอบ 313 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษตามมาตรา 313 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้จำคุก 5 ปี และปรับ 2,356,000,000 บาท
แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับ สารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง เหลือกระทงละ 2 ปี 6 เดือน ปรับกระทงละ 250,000 บาท และ1,178ล้าน บาท ตามลำดับ รวมลงโทษจำคุก 4 ปี 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
หมายเหตุ: อ้างอิงข้อมูลจาก prasong.com,รูปประกอบจาก Google

 

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY